พ่อน้องเฟิร์นเป็นใคร ?

เห็นนักเขียนดังๆเขามีคอลัมน์แบบนี้อยู่ที่ปกหลังของหนังสือ ก็เลยตามแห่หน่อย อยากมีบ้าง ถึงแม้ไม่ดังอย่างเขา 🙂

… เป็นคนอุบลฯโดยกำเนิด แต่เติบโตและเรียนหนังสือแถวๆชานเมืองกรุงเทพ ย่านที่เรียกว่าบางนา ถึงแม้จะเว้าอีสานบ่ได้ แต่ถ้าใครถามก็จะตอบว่าเป็นคนอีสานเพราะภูมิใจในถิ่นเกิดและแผ่นดินพ่อ

เรียนมัธยมต้นและปลายที่โรงเรียนมัธยมราชวินิตบางแก้ว แต่เกือบไม่จบ เพราะคึกคะนองตามระดับฮอร์โมน ดันเขียนจดหมายแซวเพื่อนสาวในนิตยสารวัยรุ่นฉบับหนึ่งในสมัยนั้น (สมัยนี้คงอารมณ์ประมาณโพสต์ลงเว็บบอร์ดพันทิป) โดนคาดโทษ หายซ่าไปหลายปี แต่ก็ถูลู่ถูกังจนจบ ม. 6

… จบมาเป็นที่ 1 ของสายวิทย์โรงเรียนมัธยมชานเมือง ครูแนะแนวอยากให้เอ็นสะท้านเข้าหมอ จะได้เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์การก่อตั้งโรงเรียน แต่เห็นเลือดแล้วจะเป็นลม ไม่ชอบฟังความทุกข์ใคร เน้นแนวสุขนิยม เลยคิดว่าไม่น่าจะเป็นหมอที่ดีได้

ชอบถอดของเล่น แต่ประกอบคืนไม่ค่อยได้ เลยเลือกวิศวะลาดกระบังอันดับ 1 ด้วยหวังว่าจบมาแล้วจะถอดๆประกอบๆอะไรได้คล่องขึ้น แต่จบมากลายเป็นว่าอย่างเดียวที่ถอดได้คล่อง(ด้วยมือข้างเดียวในความมืด)คือตะขอชุดชั้นใน …  🙂

ปี 1989 จบวิศวกรรมศาสตร์ไฟฟ้ากำลังจากเทคโนฯลาดกระบัง

… เป็นเด็กกิจกกรรม เป็นสต๊าฟเชียร์ ทำโน้นทำนี่ไปเรื่อย นุ่งผ้าข้าวม้าเข้าเรียนจากประตูหลังห้อง สิงอยู่ตึกกิจกรรมนักศึกษา ไม่ค่อยได้กลับบ้าน เป็นประธานชุมนุมวิชาการ เนื่องจากฝักใฝ่ในความสนุกสนานตามวัยของประธานชุมนุมฯ เลยโดนเรียกว่า ชมนมวิชากาม  ก่อตั้งโครงการ “ติวฟรี” อันลือลั่นในสมัยนั้น ด้วยจุดประสงค์แอบแฝงเพื่อ “หลีเด็กม.ปลาย” และ รับจ๊อบสอนเลขเด็กมัธยมเกือบทุกเดือนเพราะค่าใช้จ่ายที่บ้านให้มาไม่รวมค่าแม่โขงซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของเด็กวิศวะชายทุ่งในสมัยนั้น

เคยเป็นสมาชิกสภานักศึกษาของสถาบันฯ เพราะว่าที่ประชุมสภาฯอยู่คณะวิทยาศาสตร์ที่มีสาวๆมากกว่าและสวยกว่าคณะวิศวะ แต่ก็ไม่ได้สาวๆติดมือกลับมาตลอดช่วงสมัยที่เป็นสมาชิกสภาฯ และที่เป็นมงคลสูงสุดกับชีวิตคือได้ถวายงานในหลวง 5 นาที ในงานลาดกระบังนิทรรศน์ ตอนปี 3

กินเหล้าหลังตึก เมาปีนเสาโทรฯ ฉี่ลงสระหน้าคณะฯ ผิวปากแซวหญิงถาปัตย์จนจวนจะโดนตื๊บ ฯลฯ …

เลวร้าย ถูก ผิด ดี ชั่ว ก็ผาดโผนกับชีวิตมาจบ 4 ปีตามกฏเกณฑ์ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 และ เป็นที่ 1 ของภาควิชาไฟฟ้ากำลัง

ถือว่าใช้ชีวิตวัยเรียน 16 ปี จนคุ้ม … เอาเยี่ยงได้ แต่อย่าเอาอย่าง …

เริ่มต้นทำงานในอุตสาหรรมน้ำมัน 7 วัน หลังสอบวิทยานิพนธ์ กับบริษัท Service ชื่อดังแห่งหนึ่ง ด้วยเงินเดือนเริ่มต้น 6 หลัก แต่ไม่เคยมีรูปรับปริญญาตรี เพราะก่อนวันจักรีปีที่จบไม่กี่วัน บินไปเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ต่อด้วย อินโดฯ ดูไบ และ อียิปต์ ไปซะยาวเกือบปี จึงไม่ได้กลับมารับปริญญาตรีกับเพื่อนร่วมรุ่น

เป็น Wireline logging Field Engineer อยู่หลายปี ภูเขา ทะเลทราย ทุ่งน้ำแข็ง บนบก นอกชายฝั่ง น้ำลึก น้ำตื้น ตะลอนๆมาจนทั่ว

พักร้อนกลับมากรุงเทพเห็นเพื่อนๆร่วมรุ่นเรียนต่อ ป.โทฯ ก็อยากเรียนบ้าง เห็นเพื่อนๆร่วมรุ่นมีเมียก็อยากมีเมียบ้าง เลยคิดว่าน่าจะมีสักที่ ที่ได้ทั้งปริญญาโทและได้ทั้งเมีย เลยลาออกจากงานกลับประเทศไทยเพื่อจะหาเมียแต่ดันได้ปริญญาโทติดมือมาเป็นของแถม

ตอนเรียนไม่มี facebook ให้ส่อง หรือ ให้ขอ add friend เลยอาสาเป็นประธานรุ่น เพราะจะได้ถามชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรฯ ของสาวๆในรุ่นได้อย่างไม่น่าเกลียด ก็เลยมีตำแหน่งประธานรุ่น MBA มธ. ติดตัวมาจนทุกวันนี้

เป็นวิศวกรขายวาว์ลหาค่าลงทะเบียน ค่า Black Label ค่า Chivas (อัพเกรดจากแม่โขงในสมัยเรียน) และ ค่าใช้จ่ายในการหาเมีย ต้องเปลี่ยนทัศนคติจากหน้ามือเป็นหลังเท้า จากวิศวกรสนามผู้ทรนง ใจร้อน เถื่อนๆ อีโก้สูง และ ไม่แคร์สื่อ ต้องมาเป็นวิศวกรขายที่ต้องนอบน้อม ใจเย็น รู้จักพูดจา มารยาทสังคม และ ต้องหัดอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ที่ทำใจลำบากที่สุดคือต้องตัดผมที่ยาวประบ่าและโกนหนวดเครา ที่อุตส่าห์ไว้ยาวสลวย

… แต่อยากจะบอกว่า 2 ปีที่เป็นวิศวกรขายนั้นสอนอะไรมากมายและมีค่าต่อชีวิตมากๆในเวลาต่อมา

ปี 1996 ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรมหาบัณฑิต จากพระหัตถ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

จบโทฯพอดีกับปีต้มยำกุ้ง ฟองสบู่แตก ความฝันที่จะเป็นนายธนาคาร เป็นนักการเงิน ดับวูบ จำใจกลับเข้าวงการเดิมด้วยตำแหน่งวิศวกรหัวขุดเจาะน้ำมันสัญชาติอังกฤษ ไต่เต้าไปจนเป็นผู้จัดการประจำประเทศไทย และ จบด้วยผู้จัดการภาคพื้นเอเชียใต้ที่อินเดีย มีเฟอร์นิเจอร์ของผู้บริหารครบ เลขาส่วนตัว โน้ตบุ๊ค รถประจำตำแหน่งพร้อมคนขับ บินชั้นธุรกิจ งบเลี้ยงรับรองลูกค้า ฯลฯ และใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่ในสนามกอล์ฟกับลูกค้า

ปี 2007 อุบัติเหตุทางธุรกิจประกอบกับความพอในเกือบ 20 ปีที่อยู่ฝั่งผู้ขายของอุตสาหกรรม ลาออกมาเป็นเป็นวิศวกรขุดเจาะอยู่กับบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่ง เริ่มต้นจากศูนย์ สวมชุดหมีอีกครั้งในฐานะวิศวกรฝึกหัด เฟอร์นิเจอร์ และ ทักษะผู้บริหารที่เคยมี รวมถึง handicap golf ก็หายไป กลับมาเป็นวิศวกรสนามอีกหน แต่คราวนี้อยู่ฝ่ายขุดเจาะ

ไต่เต้ามาเรื่อยจากวิศวกรฝึกงาน(ตอนอายุ 40) เรียนรู้วิชาการขุดเจาะฯจากเด็กรุ่นน้อง ลุยเจาะทั้งบนบกและทะเล จนเป็นวิศวกรขุดเจาะอาวุโส(ที่กรณีผมแปลว่าแก่ไม่ใช่เก่ง) จนปัจจุบันเป็นผู้บริหารระดับล่างสุดสายงานสนับสนุนการขุดเจาะฯขององค์กรขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง

มีลูกสองคน เป็นเด็กพิเศษทั้งคู่ เริ่มต้นเขียนเรื่องราว หยาดเหงื่อ หยดน้ำตา ความรัก ความผูกพัน พ่อลูก ลงในห้องชานเรือน พันทิป ตั้งแต่ปี 2001 โดยใช้นามปากกา พ่อน้องเฟิร์น และ Nong Fern Daddy ผลงานจุดพลุชิ้นเรกคือ “เมื่อวันหนึ่งที่พ่อต้องปล่อยให้หนูไป” ตามมาด้วย ซี่รี่บทเรียนของน้องเฟิร์น และ ซี่รี่บทเรียนของน้องภัทร ถ้าลองกูเกิลดูก็จะเจอหลากหลายก๊อปปี้ในโลกไซเบอร์ ต่อมาก็ลองเขียนเรื่องราวชีวิตวิศวกรสนามนอกชายฝั่งลงในห้องหว้ากอ พันทิป

มีคนสนใจมากมายเกี่ยวกับงานในวงการฯ ตอบอีเมล์ไปพักใหญ่ๆ รู้สึกเสียดายข้อมูลที่ตอบไป จึงรวบรวมสำเนาที่ตอบๆไปจาก sent box กับ บทความต่างๆไว้ใน bloggang.com มีแฟนคลับส่วนหนึ่งติดตามจนได้ล้านกว่าวิวในเวลาไม่นาน จนวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุกับ bloggang ทำให้คิดว่า น่าจะมีที่อยู่เป็นที่เป็นทางเสียที ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฏกติกาของผู้อื่น เลยเปิดเว็บไซด์เองเสียเลย

เว็บไซด์ www.nongferndaddy.com จึงถือกำเนิดขึ้นมาในวันที่ 20 พ.ค. 2016

ด้วยพันธกิจ (Mission) ง่ายๆแค่ต้องการ “คืนสิ่งดีๆกลับคืนสู่สังคม”

โดย (Strategy) “การแบ่งปัน และ การมีส่วนร่วม”

ด้วย (Vision) การเป็น “แหล่งของมูลอิสระสัญชาติไทยในโลกไซเบอร์ทางการขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมต้นน้ำ”

หลังจากเปิดเว็บไซด์ www.nongferndaddy.com ได้ปีกว่าๆ ก็เลยคิดว่า น่าจะมีที่ที่เก็บเรื่องราวของน้องเฟิร์นและน้องภัทรด้วย จึงเปิดเว็บ www.adhd.nongferndaddy.com/adhd ขึ้นมาอีกเว็บหนึ่งต่างหาก

เปิดมา 3 – 4 วันล่ะ เพิ่งได้ theme ที่น่าจะโอเควันนี้ 🙂

เอาว่าเป็นฤกษ์ดี เปิดเว็บก็แล้วกัน … ยินที่ที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ

พ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทร

5 กันยายน พ.ศ. 2560

Scroll to Top