วันที่หนูลืมการบ้านไว้ที่โรงเรียน – เช้าวันที่มีปาฏิหาริย์ (หรือที่หลายคนเรียกว่าความบังเอิญ) …

15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เช้าวันนี้ …

หลังจากที่หนูอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ พ่อเห็นหนูง่วนหาอะไรสักอย่างในเป้นักเรียนอย่างร้อนรนและอารมณ์เสีย*
หนู … หาสมุดและหนังสือภาษาอังกฤษที่ต้องทำการบ้านส่งไม่เจอ …
หนู … กะว่าจะเอามาทำตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน (ทั้งๆที่ควรทำเมื่อเย็นวาน) … เอาล่ะ อย่างน้อยก็มีความรับผิดชอบ คิดขึ้นมาได้เองว่าควรจะทำล่ะ

สรุปว่า หนูไม่ได้เอาหนังสือและสมุดกลับมาจากโรงเรียน
หนูโวยวาย ร้องไห้ โทษโน้น โทษนี่ ต่อว่าพระ** โชคชะตา ไปเรื่อยเปื่อย (ยกเว้นโทษตัวเอง) และ พาลจะไม่ไปโรงเรียน …

พ่อนั่งปลอบอยู่ห่างๆ พยายามจะสอนให้หนูสงบลง เรียกสติหนูคืนมา และ พยายามถามนำให้หนูเริ่มใช้ความคิดแก้ไขสถานการณ์

หลังจากดีกรีอารมณ์หนูแผ่วลง ดูเหมือนปัญญาหนูจะค่อยกระเตื้องขึ้น

เราปุจฉาวิสัชชณากันไปมาถึงทางออกที่ดีที่สุดภายใต้สถานการณ์แบบนี้ สรุปว่ารอรถรร.และพยายามไปทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ในตอนเช้าที่รร.ก่อนเข้าเรียนวิชานี้ซึ่งโชคร้าย(ในสายตาหนู)ที่บังเอิญมาเป็นคาบแรกของวัน ด้วยเวลาที่รถรร.มารับและส่งถึงรร. หนูจะมีเวลาไม่มากที่รร.ก่อนเข้าแถว เป็นความกดดันที่ทุรนทุรายมากสำหรับเด็กม.1ตัวเล็กๆกับครูดุมหาโหด(ในสายตาหนูอีกนั่นแหละ)

ในห้วงความคิดของพ่อระหว่างรอส่งหนูขึ้นรถรร. พ่อคิดได้อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลูกของพ่อได้ … ก็แค่พ่อโทรฯไปบอกครูรถรร.ว่าไม่ต้องมารับ โทรฯไปบอกหัวหน้างานพ่อว่าจะเข้าสาย แล้วพาหนูไปส่งที่รร.เอง และนั่งสอนให้ทำการบ้านจนเสร็จ ก็จะทันเข้าแถวแน่ๆ

… อืม … แต่คิดอีกที … ถ้าทำแบบนี้ ก็จะเป็นการทำให้หนูเคยตัวและไม่ได้รับผลของการลืมของตัวเอง หนต่อไปก็จะลืมอีกและจะให้พ่อแก้ปัญหาแบบนี้ให้อีก พ่อเลยคิดว่าไม่ดีกว่า ไม่ไปส่ง ให้รีบ ให้ลุ้น ให้โดนทำโทษเสียบ้าง เป็นบทเรียนชีวิต ทีหลังจะได้รอบคอบขึ้น … เว้นแต่ว่าจะเป็นพระประสงค์ของพระที่จะมาช่วยในวิธีของพระองค์ …

คิดได้เพียงเท่านี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ….

ครูรถรร.โทรมาบอกว่า ลูกชายป่วยต้องพอไปหาหมอ ไม่สามารถมารับได้ ต้องให้พ่อไปส่งหนูเองที่รร. … หนูดีใจมาก รีบใส่รองเท้าแบกเป้ไปรอหน้าบ้านอย่างรีบร้อน พ่อขึ้นไปบอกแม่หนูให้ลงมารอส่งพี่เฟิร์นขึ้นรถรร.แทนพ่อ(ปกติเป็นหน้าที่พ่อที่รอส่งหนูและพี่เฟิร์นขึ้นรถรร.) …

ฟ้าที่ไม่ทันจะสว่างดี เราสองคนพ่อลูกกึ่งเดินวิ่งตามความใจร้อนของคนเป็นลูก … เราจูงมือกันออกมาถึงปากซอย … ปากซอยที่ปกติเช้าวันทำงานฝนปรอยๆแบบเช้านี้แท๊กซี่ไม่ค่อยจะผ่านมาสักเท่าไร แต่เช้าวันนี้ เมื่อเรามาถึงปากซอย แท๊กซี่ว่างคันนึงวิ่งมาพอดีราวกับนัดกันไว้

… จากบ้านเราไปถึงรร.หนู เราจะต้องผ่านทั้งหมดราวๆ 5 สี่แยกไฟแดง เมื่อถึงสี่แยก ทุกสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันที่ที่รถแท๊กซี่เราไปถึง !!!

… หนูขอให้พ่ออยู่ที่รร.สอนจนกว่าจะเสร็จ แล้วค่อยไปทำงาน …

… ระหว่างนั่งมาในรถแท๊กซี่ พ่อเตือนความจำหนูว่า ไม่ถึง 15 นาทีที่แล้ว หนูเป็นอย่างไร โวยวาย ร้องไห้ โทษโน้น โทษนี่ ต่อว่าพระ โชคชะตา ยกเว้นแต่โทษตัวเอง หนูจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่าบังเอิญก็ได้ ที่เพราะอะไรก็ตามครูรถรร.ไม่มารับ เพราะอะไรก็ตามแท๊กซี่คันนี้มาที่ปากซอยเราราวกับนัดไว้ และเพราะอะไรก็ตามที่สัญญานไฟจราจรทุกแยกเป็นสีเขียว พ่อไม่ใช่คนงมงายเชื่อในเรื่องดวงหรือโชคชะตา แต่พ่อเชื่อว่าถ้าเราพยายามและตั้งใจแก้ไขความผิดพลาดอย่างเพียงพอ พระจะมาช่วยเราเสมอในเวลาและวิธีที่เราเองคาดไม่ถึง


 

ก่อนพ่อจะกลับไปทำงาน พ่อชวนหนูแวะสวดมนต์และขอบคุณพระที่รูปแม่พระ***(ในรร.หนูนั่นแหละ)ก่อนกลับ เราสองคนขอบคุณพระด้วยกันสำหรับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นเช้าวันนี้ที่ทำให้หนูไม่โดนครูดุมหาโหดทำโทษ

 

หนูเดินมาส่งพ่อที่หน้าประตูรร. หนูแอบเตือนพ่อด้วยสายตาที่สำนึกผิดว่า “อย่าลืมหาคำตอบดีๆบอกหัวหน้าคุณพ่อนะครับว่าทำไมคุณพ่อมาทำงานสาย” … พ่อแอบน้ำตาซึมนิดๆว่า เออ รู้จักห่วงพ่อด้วยนะเนี้ย ดีจัง

พ่อตอบหนูไปว่า …

“คำตอบน่ะ ไม่ยากหรอกลูก ตอบความจริงไงลูก พ่อก็จะบอกหัวหน้าพ่อไปตรงๆแหละว่า พ่อมาทำงานสายเพราะพ่อทำเพื่อหนูไง …”

———————————————–

* ตามสไตล์อาการ ODD (Oppositional Defiant Disorder) และ ADD (Attention Deficit Disorder)

** พระ – เราชาวคาธอลิกเรียกคำว่า “พระ” ติดปากในความหมายของ “พระเจ้า” ผู้เป็น “พระบิดา” เป็นองค์หนึ่งใน พระตรีเอกกานุภาพ อันประกอบด้วย พระบิดา พระบุตร(พระเยซู หรือ จีซัส ที่เห็นอยู่บนไม้กางเขน) และ พระจิต (บ้างก็เรียกว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ส่วนมากจะในโบสถ์คริสต์ จิตกรมักวาดแทนด้วยรูปนกพิราบคาบกิ่งมะกอก)

*** แม่พระ – หมายถึงพระนางมารีย์พรหมจารีย์ แม่ของพระเยซู (ที่เห็นเป็นรูปปั้นผู้หญิงกำลังกอดทารกข้างรางหญ้าในถ้ำ ตามโบสถ์คริสต์ในวันฉลองคริตสมาสนั่นแหละครับ)

Scroll to Top