ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา อย่ารินสุรา ถ้าไม่เห็นกับแกล้ม

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา (อย่ารินสุรา ถ้าไม่เห็นกับแกล้ม ) – อยากจะเขียนเรื่องเครียดให้ฟังสบายๆน่ะครับ เลยต้องลงท้ายแบบนั้น ขำ ขำ อย่าคิดจริงจังอะไรไป

ธรรมเป็นของง่าย เป็นของธรรมดา ก็ควรจะคุยกันด้วยภาษาคนธรรมดา โดยคนธรรมดาๆ ให้คนธรรมดาๆฟัง

ถ้าเคยติดตามกันก็จะทราบว่าผม(ซึ่งเป็นคาธอลิกจ๋า)มีแนวคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ และ (กรรม)อะไรทำให้ผมโชคดีได้เข้ามาพบแนวปฏิบัติที่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้ (แค่ “พบ” ครับ ยังไม่ “พ้น” 555)

(ซึ่งผมตรองดูแล้วก็เป็นหลักการสากลที่มีอยู่มีอยู่ศาสนาคริสต์เช่นกัน แต่เราไม่สอนเบื้องหลังการถ่ายทำ เราบอกให้ทำโดยศรัทธาเท่านั้น แต่โดยเนื้อแล้วเป็นวิธีปฏิบัติที่อยู่บนหลักการเดียวกัน ซึ่งเอาไว้ผมจะชวนคุยเรื่องนี้อีกตอนหนึ่งต่างหาก)

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม …

สามารถอ่านย้อนหลังที่มาที่ไปของ กรรม ของ ทุกข์ ของผมได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้ ที่ผมได้เล่าแบ่งปันไว้แล้วก่อนหน้านี้หลายปี

แบ่งปันประสบการณ์ เมื่อคนที่ไม่นับถือศาสนาพุทธไปนั่งวิปัสสนาที่โกเอนก้า

Go En Ka … คุย เล่า เม้าส์มอย ครั้งเมื่อไปวิปัสสนาที่โกเอ็นก้า

ที่ โกเอนก้า … ครั้งที่สองกับการไปสงบสติ สมาธิ วิปัสนา

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม

ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา (อย่ารินสุรา ถ้าไม่เห็นกับแกล้ม )

งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าว่า ผมพบอะไรบ้างจาก 5 ครั้งที่ผมไปปฏิบัติมาในแนวทางนี้ … (อาณาปาณะสติ + เวทนานุปัสสนา)

ก่อนอื่นผมอยากจะปูพื้นฐานความเชื่อ และ ความเป็นตัวผมของผมสักเล็กน้อย 2 ประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะชวนคุยต่อไปนี้

1.ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม

ผมจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่ 1. ผมพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง 2. ทำซ้ำได้ และ 3. สามารถเชื่อมโยงปรากฏการณ์กับปัจจัยที่ผมควบคุมได้ เท่านั้น เมื่อติดตามต่อไปก็จะทราบว่ายังมีบางคำสอนของสิทธัตถะโคตมะ ที่ผมยังไม่เชื่อเท่าไรนัก ไม่ใช่เพราะไม่จริง แต่เพราะยังไม่เข้าเกณฑ์ 3 ข้อของผมที่ว่ามาข้างต้น

2. เข้าใจเพราะไตร่ตรอง กับ เข้าใจเพราะประสบเอง นั้นต่างกัน

นาย ก. ว่ายน้ำไม่เป็นแล้วเคยจมน้ำสำลักน้ำจะตาย นาย ข. ว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกัน แต่ไม่เคยจมน้ำสำลักน้ำจะตาย แต่นายข.ศึกษาเรียนรู้และไตร่ตรองเอาโดยปัญญามาว่า อาการคนจมน้ำสำลักน้ำจะตายนั้นเป็นอย่างไร

ถ้าเอาทั้งคู่ไปตอบคำถามในกระดาษ ทั้งคู่จะได้คะแนนเต็มเท่ากัน

แต่นาย ก. จะหลีกเลี่ยงไม่เดินทางเรือ หรือ เดินทางเรือแต่จะสวมชูชีพทุกครั้งโดยไม่ให้ใครเตือน ใครบอก และ นาย ก. จะไปหัดว่ายน้ำ

ส่วนนาย ข. ก็ยังคงว่ายน้ำไม่เป็น และ ใช้ชีวิตตามปกติต่อไป …

เข้าใจเพราะไตร่ตรอง กับ เข้าใจเพราะประสบเอง นั้นต่างกันตรงนี้แหละครับ … ในที่นี้ ผมจะเล่าให้ฟังว่า จากการวิปัสสนา 5 ครั้งนั้น ผมเรียนรู้อะไรบ้าง

1.คนเราไม่มีทางที่จะไม่คิดอะไรได้

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม

– แต่ก่อนผมเข้าใจว่าสมาธินะเหรอ คือการเอาจิตใจความคิดจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานๆ

โห … แบบนี้ก็หมูๆ ผมเป็นวิศวกร เป็นเด็กสายวิทย์ ชิ ผมอ่านหนังสือ คิดเลข คิดเรื่องหนึ่งเรื่องใดเรื่องเดียวได้นานๆ

แต่พอถามว่า ให้หยุดคิดได้ไหม … บ้าเหรอ ใครจะไปทำได้

ศูนย์วิปัสสนาธรรมกาญจนา (กาญจนบุรี) ในปี 2015 เป็นพยานยืนยันได้ ถ้าจิตผมเหมือนลิง มันวิ่งพล่าน ผมนั่งฝึกจับมันวันล่ะ 10 ชม. ให้มันนั่งนิ่งๆ (ด้วยการบังคับให้รู้สึกลมหายใจที่ปลายจมูก) ในหลักสูตรให้ฝึกแบบนี้ วันล่ะ 10 ชม. 3 วันครึ่ง ก็ 35 ชม. แล้วจึงวิปัสสนา แปลว่า โดยสถิติแล้ว คนทั่วไปน่าจะโอเคกับ 35 ชม. น่าจะใช้ลิง(จิต)ทำงานเก็บมะพร้าว(วิปัสสนา)ได้แล้ว

ผมนะเหรอ ล่อไปวันที่ 9 จับมันในนิ่งได้แค่ 5 วินาทีเองได้มั่ง วิปัสสนานะเหรอ ไม่ต้องพูดถึง

สรุปที่ผมนั่งไป 100 ชั่วโมงจนก้นระบม ที่ศูนย์วิปัสสนาธรรมกาญจนา ก็ได้มาแค่ “ควบคุม” จิตให้นิ่งๆได้ 5 วินาที

แต่ผมเข้าใจผิดครับ อีก 1 ปีถัดมา ที่ศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา (พิษณุโลก) หลังจากเพียรต่ออย่างไม่ลดละ ผมสามารถจับมันอยู่นิ่งได้ถึง 3 นาที ดังนั้นตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่า คนเราสามารถหยุดคิดได้จริงๆ เพราะผมประสบเองจริงๆว่าผมสามารถหยุดคิดได้ 3 นาที (เป็นอย่างมาก 555) นั่นแปลว่าคนที่ต้นทุนทางจิตดีกว่าผม น่าจะหยุดคิด (ควบคุมจิต) ได้ดีกว่าผม

นอกจากประสบเองแล้ว ยังทำซ้ำได้ และ เชื่อมโยงกับปัจจัยที่ผมควบคุมได้เอง (ก็สติสมาธิผมเองนี้แหละ)

แต่ผมก็ยังไม่ได้ลิ้มรสวิปัสสนาว่ามันคืออะไรจากศูนย์วิปัสสนาธรรมอาภา

2.สุข กับ ทุกข์ ต่างกันแค่วางมันลง

โอ้ย … ได้ยินมาตั้งแต่เรียนพุทธศาสนา (ในวิชาศีลธรรม) สมัยใส่กางเกงขาสั้น

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม – ถัดจากศูนย์ฯธรรมอาภาที่พิษณุโลก ปีถัดมาผมไปปฏิบัติฯที่ศูนย์ธรรมธานีชานเมืองกทม.นี่เอง ซึ่งไม่ได้พบอะไรใหม่ (ซึ่งผมคิดไปเองว่าไม่มีอะไรใหม่ จริงๆแล้วผมได้สมาธิที่มากขึ้น การวางใจให้เป็นกลาง เป็นอุเบกขาได้นานขึ้นดีขึ้น ความเพียรในทางธรรมไม่เคยสูญเปล่า เพียงแต่ไม่เกิดปรากฏการณ์หวือหวาอะไร)

ถัดจากศูนย์ธรรมธานี ปีถัดมาผมก็ไปที่ศูนย์ฯธรรมกมลา (ปราจีนบุรี) ที่ศูนย์นี้ผมได้พบความจริงที่ยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งด้วยตัวผมเอง

นั่นคือ …

… ปัญหา (จริงๆมันคือเครื่องมือ) อย่างหนึ่งของการนั่งวิปัสสนาในท่าขัดสมาธิโดยไม่ขยับตัวนี้ คือ เจ็บ ปวด ก้น ขา และ แผ่นหลัง

ตอนแรกผมก็ใช้การทน แต่มันก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง (ถึงแม้บางครั้งมันจะได้ผล) แต่เมื่อมันไม่ได้ผล จะทำอย่างไร มันทรมาน มันทุกข์เสียเหลือเกิน ความเจ็บปวดมันรบกวน จนไม่สามารถใช้จิตไปพิจารณาความรู้สึก(เวทนา)ในกระบวนการวิปัสสนาได้

ไสยศาสตร์อาจจะมีจริง ลองก็ไม่เสียหาย ผมเพ่งความสนใจไปที่ความรู้สึกเจ็บปวดจุดใดจุดหนึ่ง จุดแรกที่ผมเลือกคือที่ก้นนี่แหละ จำได้แม่นว่าข้างขวา 555

เพ่งความสนใจไปที่ความรู้สึกเจ็บปวดแล้วทำใจให้เป็นกลางๆ (อุเบกขา) ไม่เกลียดไม่โกรธมัน ไม่คิดอยากให้มันหมดไป จบๆไป หายๆไป คิดว่ามันก็เป็นอย่างนั้นของมัน วางจิตให้นิ่งๆ นิ่งแบบโคตรนิ่งสุดๆ (บอกเลย ทำจิตแบบนั้นยากมาก)

ไม่เชื่ออย่าลบลู่ครับ ความเจ็บปวดมันเริ่มจางลงๆ พื้นที่เจ็บปวดมันเล็กลงๆ จนกระทั่งมันเป็นจุดเล็กๆที่สั่นๆระริกๆอยู่ที่ปลายก้นนั่นแหละ แว่บเดียว ผมรู้สึกดีใจโว้ย ไม่เจ็บไม่ปวดแล้ว เสี้ยววินาทีนั้น ไสยศาสตร์มีจริง มันกลับมา ความเจ็บปวดมันกลับมาครับ แล้วมันกลับมามากกว่าเดิม ทรมานมากๆเลย ผมพยายามเพ่ง และ วางใจให้เป็นกลางๆ ใหม่ ความเจ็บปวดมันก็หายไป พอผมเริ่มดีใจว่าหายเจ็บปวด มันก็ปวดใหม่

ผมมารู้ทีหลังในอีก 1 ปีถัดมาว่าปัญหาของผมตอนนั้นคือผมไม่สามารถรักษาความเป็นกลางของจิตได้นิ่งและนานพอ (พลังสมาธิผมอ่อนไปนั่นเอง)

แล้วผมก็เล่นไม้กระดก เด้งไปเด้งมา ที่ศูนย์ฯธรรมกมลาไปจนหมดเวลาการอบรม

ผมถึงเข้าใจสัจธรรมที่แท้จริงอย่างหนึ่งด้วยตัวเอง ผมเชื่อแล้วว่า ความเจ็บปวดกับไม่เจ็บปวดมันคือสองด้านของเหรียญ ที่ถ้าเราวางใจให้นิ่งและกลาง(อุเบกขา)เพียงพอ ความเจ็บปวดมันจะหายไป

เมื่อผมลองเอามาใช้กับจิตบ้าง เมื่อเกิดอาการ (กู)ไม่ชอบ เอา “มัน” ไปไกลๆ หรือ (กู)ชอบ เอา “มัน” มาให้(กู)อีก ผมก็ลองวางใจให้มันกลางๆ เพ่งดูมันไป เออว่ะ มันก็หายไปของมันเอง … ไม่เชื่อผมก็ไม่เป็นไรครับ “ความจริง” ของผม ไม่ใช่ “ความจริง” ของคุณ 555 คุณต้องพิสูจน์เอง

ตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่า สุข กับ ทุกข์ ต่างกันแค่วางมันลง เพราะมาประสบกับมันเอง ทำมันซ้ำได้เอง เชื่อมโยงกับปัจจัยที่ผมคุมมันได้ (ใจที่วางให้กลางๆ) แม้อาจจะไม่ทุกครั้ง เพราะผมก็มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา กิเลสก็ยังหนา ศีลก็รักษาไม่ครบ แค่ได้ลิ้มรสความจริงบางข้อของชีวิต เท่านี้ก็บุญแล้วชาตินี้

3.ผมกำลังจะตาย

ปีถัดมาจากศูนย์ฯธรรมกมลา (ปราจีนบุรี) ไวเหมือนโกหก ที่ศูนย์ฯธรรมปุเนติ (อุดรธานี) ในปีนี้เอง … ผมรู้สึกว่า ผมกำลังจะตาย

ก่อนอื่นเรามาเรียนชีวะเคมีกันหน่อยดีกว่า ร่างกายของเราประกอบไปด้วยเซลส์เล็กๆ เซลส์เล็กๆเหล่านี้มันมีปฏิกริยาชีวะเคมีเกิดขึ้นเสมอ เซลส์มันกินอาหาร เกลือแร่ สารเคมี ออกซิเจน ผ่านทางของเหลวที่เรียกว่าเลือด แล้วเซลส์มันก็ขับถ่ายของเสียออกมา

นอกจากเซลส์ต่างๆพวกนี้่แล้ว มีเซลส์อีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่าเซลส์ประสาท (neuron) ที่มีหน้าที่รับส่งความรู้สึกด้วยปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี ส่งต่อๆกันเซสล์ต่อเซลส์ไปจนถึงสมอง

ทุกๆเซลส์มีความรู้สึกเกิดขึ้นเสมอ (เพระามีปฏิกริยาเคมีซึ่งรับรู้ได้ด้วยเซลส์ประสาทส่งไปสมอง) แค่จะมากหรือจะน้อยเท่านั้น เพราะเซลส์คือสิ่งมีชีวิต และ สมองเรารับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น

เอาล่ะ ไหนๆก็ไหนๆ เรามาเรียนกฏข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์กันด้วยดีกว่า (ผมก็บอกแต่ต้นแล้วว่าผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็ต้องเชื่อมโยงกับความจริงของจักรวาลที่เราเรียนรู้ได้จากฟิสิกส์)

ผมขอลอกเอาฉบับชาวบ้านๆมาล่ะกัน กฏข้อนี้บอกว่า

“กระบวนการที่เกิดขึ้นได้เองจะเกิดขึ้นได้เมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้ระบบมีความไม่เป็นระเบียบมากขึ้น” ซึ่งความไม่เป็นระเบียบที่ว่านี้หมายความรวมถึง การเกิดการกระจายตัว (dispersal)ของวัตถุ,สสาร, อะตอม,โมเลกุล หรือแม้แต่ การกระจายตัวของพลังงาน

แปลให้ง่ายขึ้นก็อาจจะกล่าวได้ว่า ทุกอย่างในโลกถ้ามันเกิดขึ้น มีอยู่เอง เปลี่ยนแปลงได้เอง จะเปลี่ยนแปลงตัวมันเองไปในทางที่เสื่อมลง พังทลาย สลายตัวลงเสมอ (เคยอ่านเวอร์ชั่นฝรั่งเวอร์ชั่นหนึ่ง เขาแปลว่า everything will eventually fall apart always – ทุกสิ่งเมื่อถึงเวลาของมันจะแตกสลายเสมอ)

พูดง่ายๆเลย ให้บ้านๆลงไปอีก เราทำไข่เจียวจากไข่ไก่ได้ แต่เราทำไข่ไก่จากไข่เจียวไม่ได้

ทีนี้เราเอาเรื่องการเปลี่ยนแปลงในเซลส์ + เรื่องกฏข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์ เราจะสรุปได้เลยว่า การเปลี่ยนแปลงที่เซลส์ประสาทรับรู้(ผ่านความรู้สึกที่สมอง)ได้นั้น คือ “ความเสื่อมลงทุกๆเสี้ยววินาทีของเซลส์นั่นเอง”

นั่นแปลว่า ถ้าเราพัฒนาความไว(สติ)ของสมอง(จิต) จนสามารถรับรู้ความรู้สึกที่บางเบามากๆที่เกิดขึ้นในเซลส์ แปลว่า เรากำลังรับรู้ “ความเสื่อมลงทุกๆเสี้ยววินาทีของเซลส์นั่นเอง”

ใครๆก็รู้ว่าคนเราเกิดมาก็ต้องตาย เราเข้าใกล้ความตายทุกๆวินาที … เหมือนนาย ข. ในตัวอย่างข้างต้นที่ว่ายน้ำไม่เป็น ไม่เคยจมน้ำสำลักน้ำจะตาย แต่นายข.ศึกษาเรียนรู้และไตร่ตรองเอาโดยปัญญาว่า อาการคนจมน้ำสำลักน้ำจะตายนั้นเป็นอย่างไร

ความท้าทายในการจะพิสูจน์ หรือ จะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อยู่ที่ ผมต้องพัฒนา หรือ ฝึก สมาธิ ให้นิ่ง และ คมชัดพอที่จะรับรู้ความรู้สึก(ปฏิกริยาชีวะเคมี)ที่บางเบามากๆปลายประสาท

ยิ่งไปกว่านั้น เรารู้อยู่แล้วในทางการแพทย์สมัยใหม่ว่า ความหนาแน่น(จำนวน)และคุณภาพของเซลส์ประสาทในแต่ล่ะส่วนของร่างกายนั้นไม่เท่ากัน นั่นแปลว่า ที่แต่ล่ะจุดในร่างกาย เมื่อมีสิ่งกระทบจากภายนอก (หรือปฏิกริยาชีวะเคมีจากในเซลส์เอง) ที่แรงเท่ากัน ถ้ามีจำนวน และ คุณภาพเซลส์ประสาท ที่ไม่เท่ากัน สมองก็จะรับรู้ได้ต่างกัน

พูดเลย มหาหินมากๆ ที่จะคนที่อายตนะ (sensors) หยาบๆอย่างผมจะรู้สึกถึงปฏิกริยาชีวะเคมี(ความเสื่อม)ของเซลส์ แต่อย่างที่บอกไว้ข้างต้น ความเพียรครับ ฝึกมันไปเรื่อยๆ ดูมันไปเรื่อยๆ ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า

เลือกเอาจุดของร่างกายที่เซลส์ประสาทเยอะๆไวๆก่อน เช่น ขอบตา ปลายจมูก (แต่ล่ะคนไม่เหมือนกัน) หรือ จุดที่เส้นเลือดใหญ่ผ่าน ขาหนีบ ขมับ ข้างๆคอ ข้อมือ ก็จะรู้สึกได้ว่าเต้น ตุ้บๆ ตามความถี่การเต้นของหัวใจ (ภาษาทางธรรมเรียกว่าความรู้สึกหยาบๆ) นั่นยังไม่ใช่ระดับเซลส์ แค่เส้นเลือดมันเต้น ตุ้บๆ ยิ่งความรู้สึกเบาบางมากเท่าไร ความถี่สูงขึ้นเท่าไร เราก็จะเข้าใกล้ความรู้สึกของเซลส์เข้าไปทุกทีๆ

ไม่มีใครวิ่งได้ก่อนเดิน เดินได้ก่อนยืน ยืนได้ก่อนคลาน คลานได้ก่อนนั่ง หรอกครับ … ชีวิตมันก็แบบนี้ ต้องทำจากง่ายไปยาก หยาบไปละเอียด หรือ ถ้ารู้จักงานช่างไม้ ไม่มีใครกระดาษทรายเบอร์น้อยๆ (ละเอียด) ขัดไม้ก่อนลงกระดาษทรายเบอร์หยาบ … เรื่องธรรมชาติครับ

แล้วก็เพียรไป ตั้งสมาธิให้นิ่งมากๆ .. จนชั่วโมงท้ายๆที่ศูนย์ฯธรรมปุเนติ (อุดรธานี) ในปีนี้ ที่แม้ผมไม่อาจจะรู้ความรู้สึกที่ละเอียดสูงมากๆทั้งร่างกาย แต่รับรู้ได้บางจุด อธิบายไม่ถูกนะครับ มันรู้สึกได้ว่า เซลส์บางเซลส์กำลังเกิดใหม่ แต่เซลส์ส่วนใหญ่เสื่อม แตกสลายลง (ตามกฏข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์) ในเสี้ยววินาทีนั้น ผมตกใจมาก และ หลุดออกจากสมาธิ (ภาษาโก้วเล้ง เรียกว่า ธาตุไฟเข้าแทรก 555) เพราะรู้ว่า ชิบหายล่ะ กูกำลังเห็นความตายจริงหรือนี่ กูกำลังจะตาย ขนลุกซู่เลยครับ

ผมแปลงร่างจากนาย ข. ผู้ที่รู้จากตำรา กลายมาเป็น นาย ก. ผู้เห็นความตาย ..

ในเสี้ยววินาทีนั้น ผมบอกกับตัวเองว่า กูจะไม่อารมณ์เสียกับอะไรกับใครอีกแล้ว เวลากูเหลือน้อยแล้ว กูกำลังจะตาย 555 🙂

ปรากฏการณ์นี้ ผมทำซ้ำได้ และ เชื่อมโยงกับปัจจัยที่ผมควบคุมได้ นั่นก็คือ สติสมาธิของผมเองนี่แหละ ถ้าสติไม่มีสมาธิอ่อน เช่น กินเหล้ามา ดูหนังเศร้า มา ก็จะตั้งสมาธิไม่ได้ ก็จะไม่เห็นความแตกสลายไปของเซลส์ แต่ถ้าสุขภาพกายพร้อม จิตสติสมาธิพร้อม ผมก็สามารถเห็นมันได้ แม้ไม่ทั้งตัว แค่บางส่วน แต่ก็ถือว่า POC (Proof Of Concept) ได้ล่ะครับ

เหมือนเคยครับ ความจริงของผม ไม่ใช่ความจริงของคุณ อย่าเชื่อ …

4.ร่ายกายผมหายไปไหน

ประสบการณ์นี้ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ซ้ำ ผมยังไม่เชื่อเท่าไรนัก เพราะถ้าเกิดขึ้นครั้งเดียว ไม่สามารถทำซ้ำได้ และ ยังไม่หาเหตุปัจจัยได้ อาจจะเป็นว่าผมมโนไปเอง

อะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้องมีที่มาที่ไป มีเหตุรองรับ ควบคุมได้ และ สามารถทำซ้ำได้

มีช่วงเวลาหนึ่งตอนที่ผมก็ไล่ดูความรู้สึกบนร่างกายไป ใจลอยไปบ้างไรบ้าง บลาๆ ตามประสามือใหม่ จู่ๆ ผมรู้สึกว่ากายหยาบนี้หายไป กลายเป็นก้อนรูปทรง (ปริมาตร) ที่มีเส้นขอบ (profile) เป็นรูปตัวผมนี่แหละกำลังนั่งขัดสมาธิ แต่แทนที่จะเป็นตัว เป็นแขน เป็นขา แต่เป็นรูปทรงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกทางกายต่างๆ อยู่บนผิวของรูปทรงนั้น

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นราววินาทีเดียว พูดเลย ตกใจ และ กลัวมาก 555 🙂 อุเบกขง อุเบกขา กระเจิงเลยครับ แล้วก็กลับมาเป็นกายหยาบเหมือนเดิม ใจงี้เต้น ตุ๊บๆ แบบว่า คนนั่งข้างๆอาจจะได้ยินก็ได้ หุหุ

แน่นอนว่าผมก็พยายามตั้งอุเบกขาใหม่ ก็ได้บ้างไม่ได้บ้างเป็นปกติ แต่ไอ้ก้อนความรู้สึกล้วนๆแบบนั้นมันก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย  ก็เลยยังไม่ปักใจ ว่ามันคืออะไร อาจจะเป็นเพราะว่าผมล้าทั้งจิต และ กาย อย่างมาก แล้วทั้งตัวเลยเกิดอาการเกร็งขึ้นมาพร้อมๆกัน (super spasm) คล้ายคนเกร็งแล้วจะเป็นลม (พยายามมองต่างโดยอธิบายทางวิทยาศาสตร์แย้งปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติแบบนี้)

สรุปว่า เป็นข้อสังเกตุ (observation) ล่ะกัน ไม่ใช่อะไรที่สามารถสรุปได้

5.วิธีเลิก “ไม่เอา” และ เลิก “จะเอา”

ทุกข์ของคนทุกชาติทุกภาษาทุกสีผิวศาสนามันก็มีอยู่ 2 อย่างนี่แหละครับ คือ กูชอบ กูจะเอา กับ กูไม่ชอบ กูจะไม่เอา 555 🙂 จริงป่ะ … ค่อยๆคิดตามมานะครับ อย่าเพิ่งเชื่อเด็ดขาด

ถ้าเราสามารถเลิก “ชอบ” เลิก “ไม่ชอบ” ได้ เราก็จะเลิก “จะเอา” กับ เลิก “จะไม่เอา” ได้ … พูดน่ะมันง่าย ทำดิ ยากชิบ(หาย)

… งั้นเราต้องมาเข้าใจ กลไกการชอบ หรือ ไม่ชอบ เสียก่อน

กลไกการชอบ และ ไม่ชอบ

ผมเคยศึกษามาทั้งวิทยาศาสตร์การแพทย์ทางกายภาพของสมอง ทฤษฎีจิตวิทยาสมัยใหม่(ฝั่งตะวันตก) หลักธรรมของพุทธ สรุปได้เหมือนกัน (ไม่บังเอิญแน่ๆ เพราะทุกศาสตร์ศึกษาเรื่องเดียวกัน แต่ใช้คนล่ะเครื่องมือ คนล่ะวิธีการเข้าถึง)

ที่ว่าเหมือนกันนั่นคืออย่างนี้ครับ

เครื่องรับ (sensors)

เรามีเครื่องมือวัดทางธรรมชาติอยู่ 6 อย่าง คือ

  • ตา – ภาพ โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าช่วงความถี่หนึ่ง
  • หู – เสียง โดยเคลื่อนความอัดอากาศช่วงความถี่หนึ่ง
  • จมูก – กลิ่น สารเคมีกลุ่มหนึ่ง ที่ความเข้มข้นข้นช่วงหนึ่ง
  • ลิ้น – รส สารเคมีกลุ่มหนึ่ง ที่ความเข้มข้นข้นช่วงหนึ่ง
  • กาย – ความรู้สึกที่ผิวหนัง ปฏิกริยาไฟฟ้าเคมีที่ปลายเซลส์ประสาท
  • ใจ – ความนึกคิด ไม่ใช่เครื่องมือวัดทางกายภาพ แต่ในทางศาสนา และ จิตวิทยา เหมารวมไปด้วย

ผมขอเรียก เครื่องมือวัดทางธรรมชาติ 6 อย่าง นี้ว่า “เครื่องรับ” หรือ sensors หน้าที่ของเครื่องรับ ก็คือ “รับ” ข้อมูลดิบเข้ามา เช่น เคลื่อนความอัดอากาศช่วงความถี่ลักษณะนี้ (ความถี่ และ แอมปริจูด) จบ เครื่องรับทำหน้าที่เท่านี้

เครื่องแปลความหมาย (interpreter)

เครื่องแปลนี้มีส่วนย่อยเล็กๆอยู่ในนี้ด้วย ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำ ผมจะเรียกมันว่า “โกดัง” ก็แล้วกัน

พอได้ข้อมูลดิบมาจากเครื่องรับแล้ว เช่น เคลื่อนความอัดอากาศช่วงความถี่ลักษณะหนึ่ง เจ้าเครื่องแปลนี้จะไปดึงเราข้อมูลเก่าในโกดังออกมาเทียบ คิดง่ายๆว่าข้อมูลเก่าในโกดังนี้เป็นคลิปก็แล้วกัน

เทียบเสร็จ ก็จะแปลความว่า อือ นี่มันคือเสียงน้ำไหลนี่นา (อาจจะไม่มีคลิปที่เหมือนเดี๊ยะ แต่ก็เอาที่ใกล้เคียงที่สุดก็แล้วกัน สมองเรามันทำงานอย่างนี้จริงๆ)

จบหน้าที่เครื่องแปลความหมายแต่เพียงเท่านี้

ปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี (ความรู้สึกทางกายนั่นเอง)

ทันทีที่เครื่องแปลความหมายทำงานเสร็จ จะมีปฏิกริยาไฟฟ้าเคมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งในร่างกายทันที

จุดนี้อาจจะหาเหตุผลยากหน่อย แต่มีงานวิจัยทางการแพทย์รองรับเยอะแยะ เช่น เครื่องรับเห็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารูปแบบหนึ่ง ตัวแปลความหมาย เอาคลิปเก่าจากโกดังมาเทียบแล้วแปลว่า เจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารูปแบบนี้คือแฟนเก่า ปฏิกริยาไฟฟ้าเคมีบางอย่างจะเกิดตามจุดต่างๆของร่างกายทันที เซลส์ประสาทรับรู้ได้ ส่งไปที่สมอง บอกว่า ผิวหน้าร้อนขึ้น ทั้งๆที่ความจริงแล้ว อุณหภูมิไม่ได้สูงขึ้นเลย เป็นต้น

เอาล่ะ มันจริง และ พิสูจน์ได้ขนาดนี้ก็ต้องยอมรับล่ะว่า เมื่อเครื่องแปลความหมาย แปลออกมาได้แล้วจะเกิดความรู้สึก (ผ่านทางปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี) เสมอ ขึ้นกับว่าปฏิกริยาไฟฟ้าเคมีนั้นมันแรงขนาดไหน สมอง สติ รับรู้ได้ไหมเท่านั้นแหละ แต่มันเกิดปฏิกริยาไฟฟ้าเคมีนี้ขึ้นแน่ๆ

จริงๆแล้ว เรื่องเรามันก็ควรจะจบอยู่เท่านี้ใช่ป่ะ สิ่งภายนอกผ่านเข้ามาทางเครื่องรับ ก็รับเป็นข้อมูลดิบเข้ามา เครื่องแปลก็ไปเอาคลิปจากโกดังมาเทียบ แปลความหมายข้อมูลดิบออกมา ปฏิกริยาไฟฟ้าเคมีก็เกิดขึ้น

เครื่องแปลความรู้สึกทางกาย

ไม่ง่ายขนาดนั้น ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ … ในสมอง หรือ จิต เราเนี้ย มันมีหน่วยย่อยอีกหน่วยหนึ่ง ผมไม่รู้จะเรียกมันว่าอย่างไร เอาว่าผมเรียกมันว่า “เครื่องแปลความรู้สึกทางกาย”ก็แล้วกัน เจ้าเครื่องนี้มันจะแปลความรู้สึกที่สมองรับรู้ได้

แต่เครื่องแปลความรู้สึกทางกายนี้มันแปลได้ (out put) 2 อย่างเท่านั้น

  • ชอบ จะเอาอีก
  • ไม่ชอบ เอาไปให้ไกลๆ

จากตัวอย่างแฟนเก่าข้างต้น เช่น ผิวหน้าร้อนขึ้น (ความรู้สึกที่ร่างกายผ่านปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี) เครื่องแปลความรู้สึกทางกายนี้มันก็แปลว่า “ไม่ชอบ เอาไปให้ไกลๆ”

มันทำแค่นี้แหละ มันง่ายเนอะ 555 แต่ไอ้งานง่ายๆของมันนี่แหละ เป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว เพราะเมื่อมันแปลได้ว่า ชอบ หรือ ไม่ชอบ แล้ว มันจะเอาข้อมูลทั้งหมด

  • รูปแบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
  • ผลการแปลความหมาย (แฟนเก่า)
  • รูปแบบปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี (ผิวหน้าร้อน)
  • และ ผลการแปลว่า “ไม่ชอบ เอาไปให้ไกลๆ”

เอาทั้ง 4 ส่วน เก็บเข้าไปที่ไหน ทายซิครับ เก็บเข้าไปในโกดังที่เป็นส่วนย่อยซ่อนอยู่ในเครื่องแปลความหมายนั่นไง 555 เป็นไงครับ เริ่มเห็นปัญหาหรือยัง

คราวนี้แหละ ขบวนการนี้มันก็จะไม่มีที่สิ้นสุด วนเป็นวงจรอุบาทว์ อยู่อย่างนี้ชั่วนาตาปี ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราแหกปากร้องขยายปอดเอาออกซิเจนตอนที่สายสะดือเราถูกตัดออกจากรกของแม่ จนวันที่เราลงหลุมหรือขึ้นเมรุ

รับรู้ -> แปลความหมาย (+โกดัง) -> รู้สึกที่กาย -> ชอบ/ไม่ชอบ -> เก็บเข้าโกดัง

ทางออก

เหมือนกับทุกปัญหาในโลก ทางแก้ปัญหามันก็อยู่ที่ตัวปัญหานี่แหละ

คืองี้ เครื่องรับ เครื่องแปลความหมาย กับ ปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี เราไปทำอะไรมันไม่ได้ เราบังคับมันไม่ได้ จริงไหม ห้ามยังไงก็ไม่ได้ จุดเดียวที่เราจะตัดวงจรอุบาทว์นี้ได้คือ ไอ้ตัวปัญหานี่แหละ ก็เครื่องแปลความรู้สึกทางกายนี่ไง

จะสังเกตุว่า เครื่องแปลความรู้สึกทางกายนี้ ไม่ได้ต่อสายตรงกับเครื่องแปลความหมายข้อมูลดิบ คือ มันแปลว่า ไม่ชอบ เอาไปให้ไกลๆ เนี้ย ไม่ได้แปลจากผลการแปลก่อนหน้าที่บอกว่า อ้อ “แฟนเก่า” มันแปลจากที่สมองรู้สึกว่า ผิวหน้าร้อน อันเนื่องมาจากปฏิกริยาเคมี นี่ต่างหาก

นั่นคือ มันมีความรู้สึกทางกายมาคั่นกลางอยู่ แต่ทุกอย่างมันเกิดเร็วมาก เราไม่รู้ตัวหรอก เราจึงคิดไปว่า ที่เราบอกว่า ชอบ ไม่ชอบ นั้น เพราะเราเห็นภาพ แฟนเก่า (นี่ก็มีงานวิจัยทางการแพทย์ด้านสมองสนับสนุนนะครับ แต่ผมไม่อ้างอิงล่ะ จำไม่ได้แล้วว่าเคยอ่านี่ไหน นิสัยเสียเนอะ)

เคล็ดสุดยอดวิชามันอยู่ตรงนี้ครับ เราสามารถควบคุมเครื่องแปลความรู้สึกทางกายนี้ได้ครับ เชื่อไหมล่ะ คุณไม่เชื่อผมหรอกครับ ร้อนก็ต้องบอกไม่ชอบดิ ไม่เอาๆ เมื่อไรจะหายร้อน เจ็บก้นจะตาย ไม่เอาๆ เมื่อไรจะหายเจ็บ

ผมคนหนึ่งล่ะที่เคยเชื่อแบบนั้น แต่จากประสบการณ์ตรงจริงๆที่ได้เล่ามาแล้วในหัวข้อ “สุข กับ ทุกข์ ต่างกันแค่วางมันลง” ทำให้ผมเชื่ออีกอย่างว่า เราสามารถวางเฉยๆกับความรู้สึกทางกายได้จริงๆ

อุปสรรคสำคัญ 2 อย่าง

สมมุติว่า เราวางอุเบกขา กับ เครื่องแปลความรู้สึกทางกาย ได้กับทุกความรู้สึกทางกาย จะเกิดอะไรขึ้น … อืม น่าคิดๆ

เราก็จะไม่มีคลิปใหม่ๆใส่ลงไปในโกดัง จริงไหม …เย้ๆ ไม่มีทุกข์เพิ่มแล้ว ไชโยๆ

ยังครับ ไม่ง่ายขนาดนั้น

ร่ายกายเรามีของเสียขับถ่ายออกมา ก็เพราะเรากินอาหารเข้าไป ใช่ไหม ถ้าเราไม่อยากขับของเสียออกมา เราหยุดกินอาหาร แต่ทำไมเรายังไม่ตาย แถมยังขับของเสียออกมาต่อได้อีก 555 เด็กประถมก็รู้ใช่ไหมว่าเพราะอะไร ก็เราเอาของเก่าที่สะสมเอาไว้ออกมากินไง

จิตใจเราก็เหมือนกัน อาหารของมันคือ ความชอบ กับ ความไม่ชอบ นี่แหละ เราป้อนให้มันทุกวินาทีเลยก็ว่าได้ (อย่าว่าแต่จะ 3 มื้อ ต่อวัน แบบร่างกายเลย) ถ้าร่างกายโดนให้อาหารแบบเราให้อาหารจิตนี้คงอ้วนฉุแน่ๆ

พอเราหยุดเครื่องแปลความรู้สึกทางกาย มันก็ไม่มี ชอบ ไม่ชอบ ใหม่ๆมาให้กิน จิตมันเลยต้องไปเอาของเก่าในโกดังออกมากินไงครับ

จิตมันกินของเก่าแบบนี้ครับ

พอมันหิว มันก็ไปดาว์โหลดคลิปในโกดังออกมา (อารมณ์เดียวกับ play back raw data ในงานวิศวกรรมเราเลยครับ) คือ มันไม่ได้เอาออกมาแค่ผลลัพท์นะครับ มันเอาออกมาทั้งยวงเลย เอาข้อมูลดิบออกมาเลยครับ แล้วมันก็ ทำซ้ำขบวนการเดิม อีกรอบ

พูดง่ายๆ แทนที่จะ real time แบบตอนเราเห็นแฟนเก่าเราสดๆ เราคิดถึงวันนั่นไงบังเอิญเจอแฟนเก่าเรา

เราขุดมาทั้งยวง ตั้งแต่รูปแบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเลย ทำซ้ำขบวนการเดิมใหม่หมด เมื่อข้อมูลดิบมันเหมือนเดิม บลาๆ ที่เหลือ (ปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมีเดิม ความรู้สึกทางกายที่จุดเดิมของร่างกาย) มันก็เหมือนเดิม ผลออกมาคือเหมือนเดิม ไม่ชอบ ไม่เอา เอาไปให้ไกลๆ

เห็นป่ะ จิตมันได้อาหารมากินแล้ว ด้วยการวัตถุดิบเก่าออกมาปรุงใหม่

แล้วไงต่อ เราก็เอาผลการ “ไม่ชอบ” ของใหม่ที่เกิดจากการ ทำซ้ำขบวนการเดิมนี้แหละ เอาเก็บเข้าโกดังไปอีก แปลว่าอะไร ตอนนี้เรามี 2 “ไม่ชอบ” ใน โกดังเนื่องจากวัตถุดิบอันเดียว

ไม่ชอบ หนึ่ง เกิดขึ้น real time ไม่ชอบ สอง เกิดจากจิตเราหิวเราเอาของเก่ามาปรุงใหม่ 555 คราวนี้ถ้าเราว่างจัด เอาออกมาปรุงบ่อยๆ เราก็จะมี ไม่ชอบ เต็มโกดัง คุ้นไหมครับว่าตอนที่เราว่าง เราทำอะไร เราก็ขุดความหลังขึ้นมา enjoy ทำซ้ำขบวนการเดิมไง แล้วเราก็คิดว่า เรากำลังดูหนังซ้ำ สนุกดี แต่นั่นแหละ เรากำลังเอา “ของ” ใส่โกดัง หุหุ

แต่การมี ชอบ เต็มโกดัง มันก็ ทุกข์ นะครับ 555 เพราะมันจะเกิด “จะเอาๆ” เต็มโกดังเช่นกัน

ทีนี้ เวลาเก็บ “ของ” ในโกดังเนี้ย เราเก็บแบบ LIFO (Last In First Out) คุ้นไหมครับนักบัญชี หรือ ที่วิศวกรรมคอมพิวเตอร์เรียกว่า stack memory แบบแม่บ้านล้างจานแล้ววางจานซ้อนๆกันน่ะครับ

อะไรเก็บทีหลัง เอาออกมาใช้ก่อน

ดังนั้น เวลาจิตเราเอาของเก่าออกมากินใหม่เนี้ย มันจะเอาของที่เก็บไว้ทีหลัง (ใหม่ๆสดๆ) ออกมากินก่อน

นอกจากความใหม่ความเก่าแล้ว ขนาดความ “ใหญ่” ของ “ของ” นั่นคือ ความชอบที่มาก ความไม่ชอบที่มาก ก็มีผลต่อการหยิบออกมาเคี้ยวปรุง กินใหม่ของจิตด้วย

เช่น ของอาจจะเก็บไว้นานแล้ว แต่เป็นของชิ้นใหญ่ 555 ปลื้มมาก อยากได้มาก เกลียดมันมากมาย สาบานว่าจะรักหรือเกลียดกันตลอดไป ของแบบนี้ ถึงจะเก็บไว้นานก็ถือเป็นของใหญ่ น่าเอาออกมาเคี้ยว ปรุงให้ (ทำซ้ำขบวนการเดิม) นักแล

2 จิต 2 ใจ

ไม่ใช่แปลว่าลังเลนะครับ หมายถึงอุปสรรคที่ 2 คือ จิตเรามี 2 ระบบครับ นี่เราก็เรียนรู้มาตั้งแต่สมัยชีววิทยา ม. 5 แล้วมัง ระบบหนึ่งเราเรียกว่า จิตสำนึก อีกระบบหนึ่ง คือ จิตใต้สำนึก ผมจะไม่อธิบายมากนะครับ เรายอมรับกันแล้วว่า มันเป็นอย่างนั้น ทั้งทางโลกและทางธรรม

ทั้ง 2 จิต นี่มันมีความแปลกๆอยู่อย่างน้อย 3 อย่าง ที่เกี่ยวกับเรื่องที่เราจะคุยต่อไปนี้ (อาจจะมีมากกว่า 3 อย่าง แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเรา ช่างมันไปก่อน) ซึ่ง ความแปลก 3 อย่างนี้ก็ได้รับการยืนยันยอมรับกันทั้งในทางโลกทางธรรม และ สามัญสำนึกบ้านๆของเรา เช่นกัน

  • จิตสำนึกสั่งจิตใต้สำนึกไม่ได้ แต่ จิตใต้สำนึก “ต่อสายตรง” บงการจิตสำนึกได้โดยจิตสำนึกไม่รู้ตัว … เน้นคำว่า “ต่อสายตรง” นะครับ ขีดเส้นใต้ไว้ก่อน
  • จิตสำนึกทำงานมีเวลาพัก (เช่น โดนตีกบาลสลบ หรือ นอนหลับสนิท) แต่ จิตใต้สำนัก ทำงาน 24 ชม.ต่อวัน ไม่มีเวลาพัก
  • ในสมอง (หรือจิตทั้งหมด) จิตสำนึกทำงานแค่ 5% อีก 95% เป็นจิตใต้สำนึก

ดังนั้น เพราะว่าอุปสรรคสองอย่างนี่ (จิตกินของเก่า และ มี 2 จิต) การที่เราหยุดเครื่องแปลความรู้สึกทางกายได้สำเร็จ ทำให้จิตไม่มี ชอบ ไม่ชอบ ใหม่ๆมาให้กิน จึงไม่ใช่ทางออกที่สมบูรณ์ใสกิ๊กเท่าไร เพราะ

  1. จิตเอาของเก่ามากินได้ แถมกินแล้วเพิ่ม “ของ” ในโกดังไว้กินต่อได้เรื่อยๆ และ
  2. จิตที่เราคุมได้มันก็แค่ จิตสำนึกซึ่งทำงานมีเวลาพัก และ ควบคุมชีวิตเราแค่ 5% (แถม จิตสำนึกก็สั่งจิตใต้สำนึกไม่ได้ด้วย หุหุ)

เวรล่ะซิ จะทำไงดีเนี้ย … เฮ้อ …

ปัญหาแรกคือใช้จิตสำนึกคุมไม่ให้เกิด “ของ” ใหม่ ก็ยากบรรลัยอยู่แล้ว จริงไหมครับ (ผมเห็นคนสวย เห็นกุ้งเผาน้ำจิ้มซีฟู๊ด ผมยังเกิดอาการ “ชอบ” เลย มันยากที่จะหยุดอยู่แค่ สวยนะ หรือ อร่อยนะ แล้ว จบแค่นั้น 555) ปัญหาที่สองยิ่งยากกว่า คือ จะทำไงถึงจะฝึกอบรมเจ้าจิตใต้สำนึกได้

นักปราชญ์ ศาสดา หลายๆท่านบรรลุความจริงข้อนี้มาหลายพันปีแล้วครับ และ มีแนวทางปฏิบัติอยู่ในเกือบทุกๆวัฒนธรรมของโลกเรา ไล่มาตั้งแต่อียิปต์ อินคา มาจนอินเดีย จีน ญี่ปุ่น บลาๆ เพียงแต่การอธิบายนั้น อาจจะมากน้อย และ เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามจริต ตามที่มาที่ไปของแต่ละพื้นที่ท้องถิ่น

จิตสำนึกเราสั่งจิตใต้สำนึกไม่ได้ก็จริงครับ แต่เคล็ดวิชามันอยู่ตรงนี้ …

อย่างที่บอกไปแล้ว เครื่องแปลความรู้สึกว่า ชอบ หรือ ไม่ชอบ ของจิตใต้สำนึกไม่ได้แปลจากภาพ แฟนเก่า โดยตรง มันแปลจากความรู้สึกทางกายที่เกิดจากปฏิกริยาไฟฟ้าเคมีอีกทีหนึ่ง ซึ่งจุดชี้ขาดมันอยู่ตรงนี้ เพราะจิตสำนึกเราเนี้ย ถ้าฝึกให้แหลมคม มีสมาธิ มากพอ เราจะรู้เท่าทันปฏิกริยาไฟฟ้าเคมีทุกส่วนของร่างกาย(ผ่านเซลส์ประสาทและสมอง)

(ท่าน)ให้เราฝึกจิตสำนักให้แหลมคมแล้วไปตรวจจับความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่ร่างกาย (ที่เกิดจากจิตใต้สำนึก) เมื่อรู้แล้วว่าเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ร่างกาย ทั้งที่แบบทำให้ ชอบ หรือ ไม่ชอบ ก็ให้วางอุเบกขา ทำให้อย่าให้ชอบ หรือ ไม่ชอบ ความรู้สึกทางกายนั้นซะ เครื่องแปลความหมายว่า ชอบ ไม่ชอบ ของจิตใต้สำนึกก็จะถูก “อบรม ขัดเกลา” ทางอ้อมทีล่ะน้อยๆ (อย่าลืมว่า เครื่องแปลความหมายว่า ชอบ ไม่ชอบ ของจิตใต้สำนึก มันมองไม่เห็นภาพแฟนเก่านะ มันเห็นแต่ความรู้สึกทางกายเท่านั้น)

ขมวดให้สั้นๆง่ายๆคือ เราใช้ความรู้สึกทางกายนี่แหละ เป็นสะพานให้จิตสำนึกอบรมขัดเกลาจิตใต้สำนึกทีละเล็กละน้อย

นั่นคือเหตุผลที่ การขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ เป็น 1 ในสามของทางหลุดพ้นในทุกๆศาสนา เพียงแต่บางศาสนาก็ไม่ได้อธิบายต่อให้เต็มเท่านั้นว่า การขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์นั้น บริสุทธิ์จากอะไร ก็จากความ ชอบ และ ไม่ชอบ โดยวางเฉยกับความรู้สึกทั้งที่ชอบและไม่ชอบทางร่างกาย นั่นเอง

(บางศาสนาลัทธิความเชื่อก็ทำครึ่งๆกลางๆคือ ทรมานร่างกาย ด้วยวิธีต่างๆ แต่ไม่ได้กำกับลงไปว่า เมื่อทรมานร่างกายไปแล้ว ต้องใช้ความตระหนักรู้ และ วางเฉยกับความรู้สึกนั้นไปด้วย ก็เลยดูเป็นอวิชาไป บางศาสนาก็บอกให้เชื่อแล้วทำ คือ บอกครบว่าต้องวางเฉยด้วยไรด้วย แต่ไม่ได้อธิบายลงไปให้ละเอียดว่าทำไมเพราะอะไร ก็เลยดูว่างมงายไปไรไปเช่นกัน)

ร่ายมายาวเลย ท้าวความมากไปนิด แต่อยากจะให้เข้าใจในสิ่งที่ผมจะสรุปต่อไปนี้ว่า มีประเด็นไหนที่ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ประเด็นไหนที่ผมยังไม่เชื่อ

สรุปกลางบทความก่อนว่าตอนนี้ผมเล่าไปถึงไหนแล้ว

  1. คนเราสามารถจะไม่คิดอะไรได้ ถ้าตั้งใจฝึกหัด – เชื่อ 100%
  2. สุข กับ ทุกข์ ต่างกันแค่วางมันลง – เชื่อ 100%
  3. ผมกำลังจะตาย – เชื่อ 100%
  4. ร่ายกายสามารถหายไป – เชื่อ 50%
  5. วิธีเลิก “ไม่เอา” และ เลิก “จะเอา” – เชื่อ 50%

4 ข้อแรกนั้น ผมได้อธิบายละเอียดไปแล้วว่าทำไม 100% ทำไม 50% จุดชี้ขาดมันอยู่ที่ผมสัมผัส “ความจริง” นั้นด้วยตัวเองหรือไม่ ชั่วคราว ทำซ้ำได้ไหม เชื่อมโยงกับปัจจัยที่ผมควบคุมได้ไหม ถ้าครบ 3 อย่างนี้

  1. สัมผัส “ความจริง” นั้นด้วยตัวเอง
  2. ทำซ้ำได้
  3. เชื่อมโยงกับปัจจัยที่ผมควบคุมได้

ผมให้ 100% เลยครับ แต่ถ้าไม่ครบ ผมให้โอกาสว่ามันอาจจะเป็นมโนของผมไปเอง หรือ บังเอิญแบบสุ่มโดยธรรมชาติ

กลับมาที่เรื่อง วิธีเลิก “ไม่เอา” และ เลิก “จะเอา” ทำไมผมให้แค่ 50% เพราะผมควบคุมได้แค่จิตสำนึก และ วางเฉยได้กับความรู้สึกทางกาย และ จิต บางอย่าง ทำซ้ำได้ด้วย และ เชื่อมโยงกับสิ่งที่ผมควบคุมได้ (ก็คือสมาธิ ยิ่งสมาธิดี ฝึกเยอะ สุขภาพกายดีไม่เจ็บป่วย ผมก็จะวางเฉยได้ดีขึ้น ภาษาวิศวกรรมเรียกว่า controllable factors)

แต่ผมยังไม่มีประสบการณ์ตรงจริงๆกับการขัดเกลาจิตใต้สำนึกผ่านการพิจารณาความรู้สึกทางกายว่ามันได้ผลอย่างนั้นจริง (ฟังทฤษฏีมันก็น่าเชื่อแหละ คิดตามมันก็จริง แต่มันเหมือน นาย ข. กับการสำลักน้ำจะจมน้ำตายในตัวอย่างตอนต้นแหละ) และนอกจากนั้น ผมยังไม่รู้วิธีพิสูจน์ด้วยว่าจะพิสูจน์อย่างไรได้ว่าจิตใต้สำนึกนั้นถูกขัดเกลาแล้วเมื่อได้ทำตามวิธีที่ว่านั้น (พิจารณาความรู้สึกทางร่างกายที่ถูกจงใจสร้างขึ้นมาบ่อยๆ และ วางเฉยบ่อยๆ)

ดังนั้น หัวข้อ วิธีเลิก “ไม่เอา” และ เลิก “จะเอา” นี้ผมให้ 50% ไว้ก่อน

6.เวียนว่ายตายเกิด

ทนอีกนิดครับ เรื่องสุดท้ายแล้ว

ตามทฤษฏีแล้ว (ท่านว่า) เมื่อร่างกายดับไปเนี้ย “ของ” ในโกดังทั้งหมดจะถูกอัพโหลดขึ้นคราวด์ แล้วพอจะมีร่างใหม่เกิดขึ้น “ของ” ที่ว่านั่นก็จะถูก ดาว์โหลดลงมาติดตั้ง (install) ในร่างใหม่

โดยการติดตั้งลงร่างใหม่ จะคล้ายๆกับการที่จิตเราเอาของเก่าออกมาปรุงกินใหม่น่ะครับ (Last In First Out) คือ “ของ” ที่เกิดใหม่ๆสดๆ และ “ของ” ชิ้นใหญ่ๆ จะถูกติดตั้งก่อน ร่างใหม่จึงมีลักษณะเด่นของของที่มาติดตั้งนั้นๆ คือ มีลักษณะเด่นของ ของชิ้นใหม่ และ ของชิ้นใหญ่ (แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ของทุกชิ้นก็ถูกโหลดเข้ามาติดตั้งอยู่ดี)

ดังนั้นทุกๆศาสนาลัทธิความเชื่อ จะสอนให้คนใกล้ตายทำใจให้สงบๆ หยุดคิดถ้าทำได้ ปล่อยวางความชอบไม่ชอบทั้งปวง บลาๆ (หยุดสร้างของใหม่ หยุดสร้างของใหญ่) ขออภัย ให้อภัย กับทุกสิ่งทุกคน บลาๆ (หยุดกินของเก่า)

นั่นคือ ร่างใหม่เหมือน ฮาร์ดแวร์ที่มี 1. เครื่องรับ 2. เครื่องแปลความหมาย (มีโกดังเปล่าๆติดมาด้วย) 3. กลไกลปฏิกริยาไฟฟ้าเคมี เซลส์ประสาท สมอง (เพื่อสร้างความรู้สึก) และ มี 4. เครื่องแปลความรู้สึกทางกาย(ว่า ชอบ ไม่ชอบ)

เหมือนเครื่องคอมพ์ที่เราซื้อมาน่ะ มี BIOS (Basic input output) มี OS (operating system) มีโน้นนิดนี่หน่อย แล้วก็มีหน่วยความจำเปล่าๆ

พอปฏิสนธิ “ของ” ที่เคยอยู่ในโกดัง(ของใครก็ไม่รู้) ก็โดนดาว์โหลดลงมาในโกดังเปล่าๆนี้แหละ

นั่นแปลว่าอะไร …

แปลว่า เราไม่ได้เกิดมาเหมือนผ้าขาว เราเกิดมาพร้อมกับ หน่วยความจำตั้งต้นบางอย่าง (จากไหนก็ไม่รู้) ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็บอกว่า ดีเอ็นเอ ทางจิตวิทยาบอกว่ากรรมพันธุ์ ทางธรรม บ้างก็ใช้คำว่าสังขาร บ้างก็ว่า บาปกำเนิด แต่ไม่ว่าจะแนวไหน เราเกิดมาพร้อมกับอะไรบางอย่างแน่ๆ ไม่ใช่เครื่องคอมพ์เปล่าๆหน่วยความจำเปล่าๆ

What make a child a child today เด็กคนนี้โตมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

What make a child a child today เด็กคนนี้โตมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

นั่นคือ(ท่าน)สอนให้เราต้องคอยระวังไม่ให้ในโกดังเรามี “ของ” เยอะ (ถ้าทำให้น้อยลงได้ก็ยิ่งดี) เพื่อ “หวัง” ว่าชาติหน้าเมื่อได้ร่างใหม่ ร่างใหม่จะได้ไม่แบก “ของ” หนัก

ตรงนี้แหละ ผมไม่เชื่อ 100% เพราะ ไม่ได้สัมผัสเองจริง ทำซ้ำไม่ได้ และ ยังไม่สามารถพิสูจน์ความเชื่อมโยงกับปัจจัยที่ผมความคุมได้

แต่ผมหาแคร์ไม่ครับ เพราะธรรมควรออกดอกผลในปัจจุบันเมื่อลงมือทำ ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลชาติหน้า (ส่วนถ้าจะให้ผลชาติหน้าจริงก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ เป็นของแถม)

สรุปอีกที 🙂

  1. คนเราสามารถจะไม่คิดอะไรได้ ถ้าตั้งใจฝึกหัด – เชื่อ 100%
  2. สุข กับ ทุกข์ ต่างกันแค่วางมันลง – เชื่อ 100%
  3. ผมกำลังจะตาย – เชื่อ 100%
  4. ร่ายกายสามารถหายไป – เชื่อ 50%
  5. วิธีเลิก “ไม่เอา” และ เลิก “จะเอา” – เชื่อ 50%
  6. เวียนวายตายเกิด – ไม่เชื่อ 100%
ข้อสังเกตุ
  1. เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้น มีข้อให้สงสัยเยอะมากๆ และ ยากจะพิสูจน์จริงๆ (ณ.ตอนนี้ในความรู้สึกของผม) แค่ว่าเอา “ของ” ขึ้นคราวด์ได้ไง เอาลงมาได้ไง เอาไปให้ร่างไหน ร่างไหน ควรได้ “ของ” ของใคร แค่นี้ก็มึนตึ๊บแล้ว แต่อย่างที่บอก เรื่องนี้ผมไม่แคร์จะพิสูจน์ครับ ผมมันพวกปัจจุบันนิยม หุหุ
  2. ในการจงใจสร้างความรู้สึกทางกายขึ้นมาเพื่อฝึกจิตสำนึกให้วางเฉย เพื่อขัดเกลาจิตใต้สำนึกในทางอ้อมนั้น โดยหลักการ ฟังก็โอเคอยู่นะ แต่พอปฏิบัตินั้น โดยมากแรกๆเราก็จะวางเฉยได้ยาก หรือ แทบไม่ได้ (ตอนนี้ผมเองก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง) นั่นแสดงว่า ตอนเราวางเฉยไม่ได้ เราก็กำลังสร้างของใหม่เข้าโกดังอะดิ แป่ววววว กลายเป็นว่าในขบวนการขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์นั้น เรากลับสร้างความไม่บริสุทธิ์เพิ่มลงไป หุหุ
  3. ในการจงใจสร้างความรู้สึกทางกายขึ้นมาเพื่อฝึกจิตสำนึกให้วางเฉย เพื่อขัดเกลาจิตใต้สำนึกในทางอ้อมนั้น เราใช้วิธีการต่างๆนาๆ ในปริมาณที่พอดีพอเหมาะ เดินสายกลางๆ แต่โดยมากจะเป็นวิธีการทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สบาย (เช่น นั่งจนปวดก้นปวดหลัง – แต่พอดี) เพื่อให้ฝึกการวางเฉยกับ กูไม่ชอบ กูไม่เอา ทำไมไม่นิยมจงใจให้เกิดความรู้สึกอีกด้าน คือ รู้สึกชอบ เพื่อจะได้ฝึกวางเฉยกับ กูชอบ กูจะเอา บ้าง เช่น จงใจเอากุ้งเผาน้ำจิ้มซีฟู๊ดมาให้กิน แล้วให้ฝึกวางเฉยว่า อร่อยนะ แต่อย่าไปรู้สึกว่ากูชอบ 555 🙂
ภาคผนวก

เพื่อความสมบูรณ์ของประสบการณ์ไปวิปัสสนาครั้งนี้ ก็เลยต้องรวมเรื่องนี้เข้าไปด้วย ทั้งๆที่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องวิปัสสนา แต่เป็นประสบการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในระหว่างอยู่ที่ศูนย์

ผมมีอ.สมัยม.ปลายท่านหนึ่งที่เคารพนับถือและผูกพัน ก่อนเข้าศูนย์ปฏิบัติฯปีนี้ ท่านป่วยด้วยโรคเรื้อรังรักษายากชนิดหนึ่ง ผมก็เลยปาวรณาที่จะอุทิศส่วนกุศลจากการฝึกวิปัสสนาหนนี้ให้ท่าน

ผมเป็นคนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ จึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (CPAP Continuous Positive Air Pressure) ในขณะนอนหลับ คืนหนึ่ง ผมคงนอนขยับผิดท่า ซิลิโคนยางหน้ากากที่ครอบจมูกคงเคลื่อน และ เผยอ ทำให้ความดันรั่วออกมา ผลคือ ผมหายใจสะดุด

ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นเอง (อาจเพราะออกซิเจนไม่พอ) ผมรู้สึกว่าอ.มาพลิกตัวให้อยู่ในท่าเดิม และ ดึงผ้าห่มมาห่มให้ (แน่นอนว่า ในทางวิทยาศาสตร์คือ จิตใต้สำนึกผมนั่นแหละ จัดการทั้งหมดนั่น) ตื่นเช้ามา ผมตกใจมาก คิดว่า คืนนั้นผมคงเสียอ.ไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะใช้โทรศัพท์สอบถามใครได้ เพราะเป็นกฏเหล็กของที่ศูนย์ฯ (โดนยึดมือถือ และ อื่นๆ)

ผมก็เลยได้แต่พยายามตั้งสติ ตั้งสมาธิ วิปัสสนาไปไรไป (ซึ่งก็ยากเย็น)

เช้าวันกลับ ได้รับโทรศัพท์มือถือคืน รีบเช็คไลน์กลุ่มม.ปลายว่ามีอะไรไหม เมื่อไม่มี ก็โล่งอกไปเปราะหนึ่ง แล้วรีบคุยกับลูกสาวอ. ถามว่า อ.เป็นอย่างไรบ้าง

ลูกสาวอ.เล่าว่า คืนเดียวกันนั้น อ.แพ้ยาชนิดหนึ่งที่ใช้รักษาอย่างแรง จนต้องพากลับเข้าไปนอนรพ.อย่างฉุกเฉิน และ อ.หมดสติไปตอนกลางคืนนั้นเอง แต่ก็ฟื้นในระยะเวลาต่อมา …

คงเป็นความบังเอิญมังครับ ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมอาจจะประสบด้วยตนเอง แต่ทำซ้ำไม่ได้ และ ไม่สามารถเชื่อมโยงกับอะไรที่ผมควบคุมได้ 🙂 เป็นอีกเรื่องที่ผมยังไม่เชื่อเท่าไรนัก ให้ 50% พอ 555

ส่งท้าย

อย่าเชื่อที่ผมเล่านะครับ ต้องลองดูเอง สร้างกฏเกณฑ์ขึ้นมาเป็นของตัวเอง ว่าเมื่อไรควรเชื่อ และ ไม่ควรเชื่อ

สิ่งที่ผมไม่เชื่อ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่จริง แค่ไม่เข้าเกณฑ์ของผมที่ผมจะเชื่อ …

บรรณานุกรมศัพท์

ผมพยายามเขียนให้เข้าใจง่ายๆ จึงล่ะคำศัพท์ที่ฟังแล้วไม่คุ้นชินออกไป หาใช่จะดูแคลนภาษาต้นทาง ผมเลือกใช้คำที่เข้าใจง่ายๆในระดับชาวบ้าน เพราะผมเชื่อว่าธรรมที่แท้จริงต้องสามารถใช้ภาษาชาวบ้านอธิบายได้ ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาที่ตายแล้ว(บาลี สันสกฤต ลาติน อารบิคโบราณ บลาๆ) พูดคำหนึ่งประโยคหนึ่ง แปลทีหนึ่ง

เพราะชาวบ้านนี่แหละ เป็นผู้ที่ต้องใช้ธรรม ถ้าอธิบายธรรมนั้นด้วยภาษาบ้านๆไม่ได้ ก็ไม่น่าจะใช่ธรรมที่แท้จริง

  • เครื่องรับ – วิญญาน
  • เครื่องแปลความหมาย + โกดัง – สัญญา
  • ความรู้สึกทางกาย – เวทนา
  • เครื่องแปลความรู้สึกทางกาย – สังขาร
  • “ของ” – กิเลส หรือ สังขาร (สังขารเป็นทั้งนาม และ กริยา)
  • วางเฉยๆ – อุเบกขา
  • ไม่เอา – โทสะกิเลส (ความโกรธ)
  • เอา – โลภะกิเลส (ความโลภ)
  • งงๆ – โมหะกิเลส (ความไม่รู้)
  • ตั้งสมาธิอยู่ที่ลมหายใจ – อาณาปาณะสติ
  • สังเกตุความรู้สึกทางกายอย่างที่มันเป็น – เวทนานุปัสสนา
  • กู  – อีโก้

ขอให้สัตว์ทั้งหลายมีส่วนใน ผลบุญของข้าพเจ้า ความสงบสุขของข้าพเจ้า มิตรไมตรีอันแท้จริงของข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าเป็นบ่อเกิดความรัก ความเมตตา อันไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุด ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง จงหลุดพ้นเถิด จงหลุดพ้นเถิด … อาแมน

ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม

keyword – ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม

2 thoughts on “ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา อย่ารินสุรา ถ้าไม่เห็นกับแกล้ม”

  1. Pingback: POOH Pump out Back ream out คืออะไร ต่างกันอย่างไร – Oil man

Comments are closed.

Scroll to Top