Listen Listen and Listen ทำไมไม่มีใครคุยกับหนู

Listen – ทำไมไม่มีใครคุยกับหนู – หนึ่งในทักษะสังคมที่ท้าทายผมเป็นอย่างมากในการสอนยัยเฟิร์นคือ ทักษะการการคุย ไม่ว่าจะคุยกัน 2 คน หรือ ในกลุ่มคนหมู่มาก

นางเข้าไปคุยวงไหน วงแตก เดินเข้าไปคุยกับใคร ก็มักจะคุยได้ไม่นาน

ผมเฝ้าสอน เฝ้าฝึก เฝ้าโปรแกรมนางมาระยะหนึ่ง ผมพบว่าผมมองข้ามอะไรบางอย่างที่เบสิกๆไป

Social skill developing พัฒนาทักษะสังคมคนพิเศษ

Listen and Listen

ทำไมไม่มีใครคุยกับหนู

หลังจากฉีดซิโนแวคไปได้ 7 วัน ไม่มีอาการอะไรผิดปกติ ก็ไปบริจาคเลือด ขากลับผ่านแผงหนังสือที่จามจุรีสแควร์ เลยหยิบมาฝากนางเล่มนึ่ง

Listen Listen and Listen

เรื่องง่ายๆที่เราทำได้เอง แต่สำหรับนางต้องสอนกันแบบเป็นจริงเป็นจัง 😛

นางก็ผลัดวันประกันพรุ่งมาตลอด เพิ่งอ่านจบเมื่อ 2 วันก่อน ก็เลยเริ่มฝึกกันทีล่ะบท

บทแรก … ฟังคนอื่นพูด

โดนมากๆ … ผมเพิ่งถึงบางอ้อ สาเหตุหลัก (root cause) ที่นางคุยไม่เป็น คือ นางขาดทักษะในการฟังอย่างแรง

คิดๆไปก็สมเหตุผลนะ

เพราะธรรมชาติให้ประสาทสัมผัสคนเรามาโดยเรียงลำดับความสำคัญ

เรารู้สึกร้อนหนาวทางผิวหนังได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ นั่นจำเป็นที่สุด … เราต้องการสัมผัสจากสปีชี่ย์เดียวกัน (high touch not high tech)

ต่อมาเรารับรู้เสียงได้ตั้งแต่ในท้องแม่อีก (เรายังไม่มีอวัยวะที่เรียกว่าหูด้วยซ้ำตอนนั้น) เราขยับเมื่อได้รับรู้แรงสั่นสะเทือนความถี่ (เสียง) ที่คุ้นเคยที่คุ้นเคย

หลังจากนั้นประสาทตาเราเริ่มรับแสง รู้สว่าง รู้มืด แต่ยังมองไม่เห็นภาพ

คลอดออกมา เราเป็นใบ้อยู่เกือบ 3 ปี (บางคนนานกว่านั้น) เรายังพูดไม่ได้ แต่เรา ฟัง และ เห็น

ถ้าเปรียบเป็นเทคโนโลยีดิจิตอล … ธรรมชาติให้เราเก็บข้อมูลภาพ และ เสียง ถึง 3 ปี จนเรามีฐานข้อมูลที่เพียงพอระดับหนึ่ง เราจึงผลิต output ได้ คือ การพูด เพื่อแสดงความคิด ความรู้สึก และ ถามเพื่อเติมจิ๊กซอที่ขาดไปในระหว่าง 3 ปี ที่ได้ยิน และ เห็น แต่ยังไม่เข้าใจดีนัก

จากนั้นก็ขึ้นกับอารยธรรมล่ะ ที่เราจะอ่าน หรือ เขียนได้หรือไม่

แสดงว่าธรรมชาติให้ความสำคัญแก่การฟัง และ เห็นมากกว่า การพูด

ย้อนธรรมชาติฝึกนาง

ถึงไม่ได้นัดกันเป็นแบบแผนของครอบครัว แต่ทุกเช้าเรามักจะบังเอิญมาเจอกันที่โต๊ะกินข้าวในครัว

เมื่อเช้า ผมเลยให้นางเป็นใบ้ บังคับให้นางฟัง และดู อย่างเดียว

ฟังแต่ล่ะคนพูดอะไรกันบ้าง แบบเดียวกับที่เราฝึก role play ในการฝึก soft skill ต่างๆ ในธุรกิจการทำงานนั่นแหละ โดยให้นางรับบท observer (ผู้สังเกตุ)

ที่ต้องให้นางเป็นใบ้ เพราะ ถ้าให้นางพูดด้วย สมองนางจะเอาแต่พูด ไม่มีสมองใช้ฟัง 555 เลยต้องบังคับให้เป็นใบ้ 1 ชม.

สายๆ ผมก็เรียกนางมาสรุปบทเรียนกัน

ให้นางยกบทสนทนาที่สังเกตุได้ แยกเป็นประโยคประเภทต่างๆ

ถึงพบว่า อืม จริงๆ นางยังขาดทักษะการฟังพื้นฐานจริงๆ เพราะบางประโยค นางแยกไม่ออกว่าเป็นประโยคอะไร หรือ จับความไม่ได้ เช่น

  1. ประโยคคำถามที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ เช่น เมื่อไรฝนจกตกเสียที ทำไมหาไม่เจอซะทีนะ
  2. ประโยคคำถาม ที่ไม่มีคำถาม (ที่ไหน เมื่อไร ทำไม หรือไม่ ฯลฯ) แต่ต้องการคำตอบ เช่น หมู่นี้คุณพ่อตื่นสายจังนะ (= เมื่อคืนนอนดึกหรือเปล่า หรือ ไม่สบายหรือไม่) ลูกหมาน่าร๊ากน่ารัก (เสียงสูง = เห็นด้วยไหม)
  3. ประโยคคำถาม ที่ไม่มีคำถาม ไม่ต้องการคำตอบ เช่น เฮ้อ … วันนี้พ่อรู้สึกเหนื่อยง่ายจัง
  4. ประโยคบอกเล่า ที่ไม่ต้องการคำตอบ ที่ไม่ใช่การบ่น (ประโยคเปิดหัวข้อสนทนา) เช่น พ่อทำงานอยู่บ้านสบายดี มีเวลาอยู่กับครอบมากขึ้น
  5. ประโยคบอกเล่า ที่เป็นการบ่น โดยไม่ต้องการคำตอบ เช่น เฟิร์นไม่จำอีกแล้ว ทำผิดหลายครั้งแล้ว
  6. ประโยคบอกเล่า ที่เป็นการบ่น โดยต้องการคำตอบ เช่น ไม่ล้างเศษอาหารออกจากอ่างล้างจานหลังล้างจานเสร็จอีกแล้ว พ่อเคยบอกเฟิร์นแล้วนะ (= คาดหวังให้ตอบมาว่าจำได้ไหมว่าพ่อบอกแล้ว)
  7. ฯลฯ

พูดง่ายๆว่า ต้องนับหนึ่งกันใหม่ สอนวิเคราะห์ประโยค และ ความหมายแฝงของผู้พูด

เพราะถ้านางยังไม่เข้าใจเบสิกๆนี้ นางจะตอบสนอง(พูดโต้ตอบ)ผิดๆ แล้วก็นะ ไม่วงแตก นางก็คุยกับคนอื่นได้ไม่นานเขาก็เดินหนีนาง

คงต้องเริ่มนับหนึ่งแบบนี้แหละ ทุกเช้าๆ ไปวันล่ะชม.จนกว่านางจะสามารถตั้งสติฟังให้ครบประโยค แยกแยะ และ เข้าใจ

เมื่อสายนี้ก็เปรียบเทียบให้นางฟังว่า การที่นางไม่ตั้งใจฟัง ฟังไม่ครบประโยค หรือ ไม่เข้าใจจริงๆว่าคนพูดๆอะไร ก็เหมือนเกรียนคีย์บอร์ด

ยังไม่ทันได้อ่านโพสต์ หรือ ความเห็น จบ ก็พิมพ์แสดงความเห็น หรือ พิมพ์ด่าๆ เสียแล้ว

บางที ไม่ได้อ่านด้วยซ้ำ พอเห็นชื่อคนที่โพสต์เป็นคนที่ไม่ชอบก็พิมพ์ด่าทันทีโดยไม่ได้อ่านเลยว่าเนื้อหาที่เขาโพสต์นั้นดีไม่ดีอย่างไร

พอเปรียบเทียบแบบนี้ ดูนางเข้าใจขึ้น เพราะนางเข้าใจคำว่าเกรียนคีย์บอร์ด

สัปดาห์นี้ สัปดาห์หน้า คงต้องฝึกบทนี้ก่อน เอาให้คล่อง

บทต่อไปที่คิดไว้ในใจ คือ ให้นางสังเกตุภาษากายด้วยสายตาประกอบ โดยจะต้องแยกเป็นขั้นย่อยๆว่าตานางมองเห็นอะไรตามจริง เช่น คุณพ่อ ถอนหายใจ ก่อนพูด หรือ น้องภัทรพูดโดยมองไปที่ตู้เย็น

ขั้นต่อไปก็จะขั้นสูงขึ้น ให้นางแปลภาษากายที่เห็นด้วยตาเป็นความหมายแฝงที่คนนั้นต้องการสื่อ

แน่นอนว่า ใช้คลิป ยูทูป ช่วยในการฝึกก็คงได้ แต่ผมคิดว่า สถานการณ์จริง คนในครอบครัวจริง น่าจะช่วยให้นางจำ และ เข้าใจได้ดีกว่า

จากนั้นจึงค่อยให้นางฝึกโต้ตอบโดยการพูดออกมา จำลองสถานการณ์แล้ว role play

คงอีกพักใหญ่ที่นางจะต้องเป็นใบ้วันล่ะ ชม. ตอนเช้า 555 🙂

1 thought on “Listen Listen and Listen ทำไมไม่มีใครคุยกับหนู”

  1. Pingback: Emergency Response Management เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส

Comments are closed.

Scroll to Top