พ่อครับ พ่อรู้สึกว่า พ่อโชคร้ายที่สุดตอนไหน … อีกบทเรียนหนึ่งของลูกภัทร

พ่อครับ พ่อรู้สึกว่า พ่อโชคร้ายที่สุดตอนไหน … เช้าวันนี้ ภัทรมานั่งคุยด้วยที่โต๊ะอาหารตอนเช้าก่อนพ่อไปทำงาน หนูเล่าให้พ่อฟังเรื่องราวที่โรงเรียน และ เรื่องที่ต้องเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในปีการศึกษาหน้า

หนูบอกว่าหนูโชคร้ายเยอะ ไอ้นู้ก็โชคร้าย ไอ้นี่ก็โชคร้าย ทุกอย่างโชคร้ายไปหมด แม้กระทั่งพี่เฟิร์นจอมขี้ลืม มาเอาไซริงค์ที่ใช้ล้างจมูก*ของหนูไปใช้ เอาแก้วน้ำของหนูไปใช้ ก็เป็นโชคร้าย

พ่อครับ พ่อรู้สึกว่า

พ่อครับ พ่อรู้สึกว่า …

พ่อโชคร้ายที่สุดตอนไหน …

พ่อก็กินไปฟังไป ไม่คิดว่าหนูจะมีอะไรนอกจากอยากเล่าให้ฟัง เพราะเรื่องโชคร้ายของหนู พ่อก็ได้เคยสอนเคยแนะไปหมดแล้ว

หนูเงียบไปพักหนึ่ง …

จู่ๆ หนูก็ถามขึ้นมา ..

… “พ่อครับ พ่อครับ พ่อรู้สึกว่าพ่อโชคร้ายที่สุดตอนไหน”

ตอบไงดี … (พ่อคิดในใจ)

พ่อหยิบปลาตรงหน้ามาแกะซื้อเวลาไปได้ครึ่งนาที ….

ตามประสาผู้ชายที่ชอบคิดแก้ปัญหา ชอบคาดการณ์ อ่านใจ ล่วงหน้า พ่อเดาว่า หนูคงอยากให้พ่อยกตัวอย่างในวัยเท่าหนูที่คิดว่าพ่อโชคร้ายที่ต้องเจอโน้นเจอนี่ …

พ่อคิดแบบนั้น แต่ตอบไปแบบนี้ …

พ่อคิดว่าพ่อโชคร้ายที่สุดตอนที่พ่อคิดว่าพ่อเปลี่ยนคนอื่นได้” …

“ไม่เข้าใจครับ พ่อหมายถึงอะไร” … หนูถามต่อ

“อืม … ภัทรรู้ใช่ไหมว่าพ่อไม่ชอบบ้านสกปรก ที่บางครั้งบางทีภัทรและพี่เฟิร์นไม่ใส่รองเท้าเดินนอกบ้าน แล้วเดินเข้าบ้าน หมา แมว ที่เลี้ยง ก็เลี้ยงแบบอิสระ เดินเข้าออกบ้านได้ตามใจมัน เท้ามันก็พาของนอกบ้านมาเปื้อนพื้นบ้าน พ่อไม่สามารถนอนบนพื้นบ้านได้แบบที่พ่อชอบนอนตอนพ่ออยู่บ้านคุณย่า พ่อพยายามบอก หัด บ่น ทำโทษ ทั้งหมาทั้งแมวทั้งคน ก็ไม่เกิดผลอะไร พ่อเปลี่ยนอะไรใครไม่ได้เลย ทั้งคนทั้งหมาทั้งแมว พ่อคิดว่าพ่อโชคร้ายที่สุดตอนนั้นแหละ ที่พ่อคิดว่าต้องมาอยู่ร่วมกับทั้งคนทั้งหมาและแมวที่ไม่ได้อย่างใจพ่อ

… หนูเงียบไป … พ่อก็เลยต่อ

“อย่างตอนนี้ พ่อให้ทุกคนมีแก้วน้ำของตัวเองเพราะไวรัสโควิด-19 พี่เฟิร์นจอมขี้ลืม ก็มักง่าย ชอบเอาแก้วคนอื่นไปกิน รวมถึงแก้วของพ่อด้วย พ่อคิดว่าพ่อโชคร้ายที่สุดตอนนี้เหมือนกันที่ต้องมาอยู่ร่วมกับลูกขี้ลืมฝึกหัดไม่ได้อย่างใจ”

“แล้วภัทรรู้ไหมว่า พ่อรู้สึกโชคดีที่สุดตอนไหน”

“ไม่รู้ครับ”

ก็ตอนที่พ่อคิดได้ว่าพ่อเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้นะซิ … 555” … แล้วพ่อก็หัวเราะ

“ตอนนั้นแหละพ่อรู้สึกโชคดีที่คิดได้แบบนั้น ความสุขก็เข้ามาแทนที่ความทุกข์ชั่วพริบตาเลยลูก ที่พ่อเปลี่ยนได้คือ เปลี่ยนตัวพ่อเองนี่แหละ พ่อก็เลยเอารองเท้าที่ใช้ใส่เดินในบ้านมาใส่** พื้นบ้านจะเปื้อนจะรกจะอะไร เท้าพ่อก็สะอาด พ่อกินน้ำเสร็จพ่อก็เอาแก้วพ่อเก็บซ้อนไว้ในตู้เก็บของในครัว พี่เฟิร์นก็ไม่ไปหยิบเอาไปใช้”

… “แล้วหนูคิดว่าจะทำอย่างไรกับโชคร้ายของหนูดีล่ะ เอาโชคร้ายง่ายๆก่อน โชคร้ายที่พี่เฟิร์นจอมขี้ลืม ชอบเอาไซริงค์ล้างจมูก ยาพ่นจมูก กับ แก้วน้ำ ของหนูไปใช้”

พ่อทิ้งคำถามเอาไว้ รินน้ำดื่ม เอาแก้วไปซ่อนพี่เฟิร์นในตู้ แล้วก็ออกไปทำงาน ..

พ่อไม่รู้ว่าหนูจะเข้าใจที่พ่ออธิบายแค่ไหนในวันนี้ พ่อหวังว่า วันที่พ่อไม่อยู่กับหนู ไม่อยู่คอยเตือนคอยสอน หนูกลับมาอ่านใหม่อีกรอบ หนูจะเข้าใจมากขึ้น และ มากกว่าความความเข้าใจ ชีวิตหนูจะดีขึ้นมาก จะมีความสุขขึ้นอย่างทันตาเห็น ถ้าเอาคำสอนพ่อไปใช้

“จำไว้ว่า เราเปลี่ยนอะไรใครไม่ได้เลย ที่เราเปลี่ยนได้คือ เปลี่ยนความคิด และ การกระทำของเราเอง”

รักลูกภัทร

พ่อ …

07:55 น. 11 มีนาคม พ.ศ. 2563

*เฟิร์นและภัทรเป็นโรคภูมิแพ้ ต้องล้างจมูกและพ่นยาทุกวัน มีชุดล้างจมูกและยาพ่นจมูกเป็นของตัวเอง แต่พี่เฟิร์นจอมขี้ลืม + มักง่าย ก็มักจะหยิบใช้มั่ว ก็พยายามหัดพยามทำโทษเธออยู่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย

**เราหุ้มทางเดินบนโลกทั้งใบด้วยผืนหนังไม่ได้ แต่เราเอาผืนหนังมาหุ้มเท้าเราได้ … (ภาษิต ทิเบต)

บทเรียนที่คล้ายกันของพี่เฟิร์น … เมื่อเรายิ้มให้โลก โลกก็จะยิ้มให้เรา

บทเรียนที่ 17 ของน้องเฟิร์น … ทำไมคนถึงใจร้ายกับหนู คุณพ่อช่วยหนูด้วยค่ะ หนูเสียใจ

บทเรียนที่ 17 ของน้องเฟิร์น … ทำไมคนถึงใจร้ายกับหนู คุณพ่อช่วยหนูด้วยค่ะ หนูเสียใจ

ภูมิแพ้ รู้ให้ทันดูแลได้

หนึ่งในโรคยอดนิยมที่เป็นกันมากในทั่วโลกคือ โรคภูมิแพ้ เพราะฉะนั้นการรู้เท่าทันเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ไม่เพียงช่วยให้สังเกตอาการเบื้องต้นได้ ยังหมายถึงการดูแลป้องกันตนเองได้อย่างเหมาะสม

โรคยอดฮิตของคนไทย

ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เพิ่มมากขึ้น 3 – 4 เท่า หากเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลสถิติของสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย พบว่า เด็กไทยเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึงร้อยละ 38 และผู้ใหญ่เป็นโรคภูมิแพ้ประมาณร้อยละ 20 โดยสาเหตุส่วนใหญ่เนื่องมาจาก

  • กรรมพันธุ์
  • มลภาวะ
  • สูบบุหรี่
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • สภาพแวดล้อมภายในที่พักอาศัย เช่น เลี้ยงสัตว์ ปูพรม เครื่องปรับอากาศ เป็นแหล่งสะสมฝุ่นละอองและไรฝุ่นชั้นดี เป็นต้น

รู้จักโรคภูมิแพ้

โรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้มากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการผิดปกติกับอวัยวะที่สัมผัสสารก่อภูมิแพ้นั้น ๆ ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้แต่ละคนจะมีอาการแตกต่างกันและความรุนแรงไม่เท่ากัน เพราะชนิดของสารก่อภูมิแพ้ที่ได้รับและการตอบสนองของร่างกายแต่ละบุคคลต่างกัน

ประเภทสารก่อภูมิแพ้

ประกอบด้วย 2 ประเภทหลัก ได้แก่

1) สารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมและอากาศ เช่น ไรฝุ่น ขนสัตว์ ละอองเกสร แมลงสาบ เชื้อรา ฯลฯ

2) สารก่อภูมิแพ้ประเภทอาหาร เช่น นม ไข่ ถั่ว แป้งสาลี อาหารทะเล ฯลฯ

อาการบ่งบอกภูมิแพ้

อาการของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จะเกิดตามอวัยวะที่มีการอักเสบจากการกระตุ้นของสารก่อภูมิแพ้ ได้แก่

  • ผื่นคัน
  • ลมพิษ
  • น้ำมูก
  • จาม
  • คันจมูก
  • คัดจมูก
  • คันตา
  • เคืองตา
  • แสบตา
  • น้ำตาไหลบ่อย
  • ไอ
  • หอบ
  • แน่นหน้าอก
  • หายไม่คล่อง
  • หายใจแล้วมีเสียงวี้ด

นอกจากนี้ยังอาจเกิดอาการท้องเสีย อาเจียน น้ำหนักลด รวมทั้งมีภาวะซีดเกิดขึ้นด้วยได้เช่นกัน จึงจำเป็นต้องหมั่นสังเกตตนเองและพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง

ตรวจให้แน่ใจ

การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ย่อมช่วยให้ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของอาการแพ้ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเริ่มจากแพทย์ตรวจร่างกายและซักประวัติแบบละเอียด จากนั้นจะทำการตรวจเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เช่น ทดสอบทางผิวหนัง เจาะเลือดหาสาเหตุ เพื่อให้สามารถยืนยันสาเหตุการแพ้ได้อย่างชัดเจน นำไปสู่การดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม

แม้ภูมิแพ้จะเป็นโรคเรื้อรัง แต่ถ้าหากรู้สาเหตุของการแพ้อย่างชัดเจนและพยายามหลีกเลี่ยง ตลอดจนหมั่นดูแลร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ย่อมช่วยบรรเทาอาการที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

https://www.bangkokhospital.com/th/disease-treatment/allergy-care-to-keep-up

1 thought on “พ่อครับ พ่อรู้สึกว่า พ่อโชคร้ายที่สุดตอนไหน … อีกบทเรียนหนึ่งของลูกภัทร”

  1. Pingback: เก็บคำถามนี้ไว้ พ่อไม่รู้คำตอบหรอก พ่อรู้แต่อนาคตภัทรมีความสุขกว่าพ่อแน่นอน -

Comments are closed.

Scroll to Top