Pak Nam market เช้าวันอาทิตย์ กับ แม่ ในวันวาน

Pak Nam market เช้าวันอาทิตย์ กับ แม่ ในวันวาน – ผมเกิดที่อุบล แต่มาใช้ชีวิตวัยประถมที่โตมา ในตรอกชุมชนแออัดข้างวัดบางนาใน

เหมือนๆชีวิตเด็กบ้านข้างวัดร่วมสมัย ผมได้ยินเสียงสวดศพ เสียงป้าๆยายๆรับจ้างร้องไห้หน้าศพ เสียงวงปี่พาทย์ เหมือนนาฬิกาบอกเวลาทุกย่ำเย็น

แด่เธอ … ผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่ตายแทนผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ต้องการ …

เกือบทุกปลายสัปดาห์ ไม่วันศุกร์ก็วันเสาร์ จะมีหนังกลางแปลงมาฉายที่ลานหน้าวัด ถึงจะมีของขายหลายๆอย่าง แต่ที่ผมพอจะซื้อได้ด้วยงบฯที่แม่ให้มาคือเม็ดมะขามคั่ว 1 ถุง ซึ่งเคี้ยวๆดูดๆ ดูหนังได้ทั้งคืน เพราะมันแข็งมาก (ฮา)

Pak Nam market

เช้าวันอาทิตย์ กับ แม่ ในวันวาน

ทุกวันอาทิตย์เว้นอาทิตย์ เรา 5 คน เแม่ลูก มีกิจวัตรอย่างหนึ่ง คือ การไปจ่ายตลาดที่ตลาดสดปากน้ำ ปากน้ำที่สมัยนั้นเด็กๆอย่างผมรู้สึกว่าเหมือนไปต่างจังหวัด คือ มันไกล และ วิวสองข้างทางมีแต่ท้องนา กับ โรงงานเก่าๆเล็กๆแทรกให้เห็นเป็นพักๆเท่านั้น

แม่จะปลุกพวกเราแต่เช้า ชุดจ่ายตลาดของเราในเวลานั้นก็ คือ เสื้อยืดคอกลมยี่ห้อต่างๆ เช่น นมผง น้ำปลา ขนมปังปีบ ฯลฯ (ของแถมฟรีนั่นแหละ แม่ไปขอมาจากร้านขายส่งที่สนิทกันในตลาดบางนาใน) กางเกงขาสั้น และ รอเท้าแตะคีบ พร้อมอุปกรณ์คู่กาย คือ ถุงผ้ากระสอบคนล่ะสองใบ

คนล่ะ 50 สตางค์ หรือ สลึงนึงนี่แหละ ผมจำไม่ได้แม่นนัก เป็นค่ารถเมล์เขียว เก้าอี้ไม้ วิ่งปุเลงๆจากบางพลี (ตอนนั้นมันอยู่ไหนผมก็ไม่รู้) ผ่านบางนา ไปสุดทางที่ตลาดปากน้ำพอดี

Pak Nam market
ตลาดปากน้ำ

แม่เดินนำหน้า พวกเรา 4 คนเดินแถวตอนเรียงหนึ่งตามเหมือนพระเณรและเด็กวัดเดินแถวออกบิณฑบาตร เราไปดักโบกรถเมล์เขียวที่สี่แยกบางนาที่ตอนนั้นเป็นถนนเลนเดียว

ชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงตลาดปากน้ำ สุดสายรถเมล์เขียวพอดี

แดจาวู …

เรียกว่าหลับตอนนี้ก็ยังฝันเห็นภาพเดียวกันเดี๊ยะ แม่ทำซ้ำๆทุกครั้ง …

แม่จะพาเดินไปที่จุดนัดพบจุดเดิม ให้น้องชายคนสุดท้อง ยืนเฝ้าของ จุดนี้เป็นจุดที่กึ่งกลางพอดีจากทุกมุมของตลาด แล้วแม่ก็จะควักโพยออกมาว่าจะซื้ออะไรบ้าง พวกเราอีก 3 คนก็เดินตามแม่ไป

ตลาดสดก็ คือ ตลาดสด พื้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำจากอาหารทะเลสารพัด สีดำๆบ้าง ใสๆบ้าง แต่ไม่ว่าสีอะไร มันก็จะกลิ่นไม่ต่างกัน ก็กลิ่นอาหารทะเลเน่าๆนั่นแหละ

เดินไปสักพัก หลังเสื้อยืดเราก็จะมีรอยจุดๆดำๆ เพราะน้ำที่ปลายส้นรองเท้าแตะมันดีดขึ้นมา บางทีก็กระเซ็นมาถึงท้ายทอยผมเกรียนทรงนักเรียนมาตราฐานกระทรวงธรรมการ ซึ่งเราก็ไม่เคยแคร์ รู้สึกด้วยซ้ำว่า สนุก และ เย็นดี แม้กลิ่นจะตุๆไปบ้าง (ฮ่า)

แม่มีหน้าที่ซื้อของ ผมเป็นพลัดแรกเต็มสองถุงกระสอบก็จะหิ้วกลับมาที่จุดนัดวางไว้ให้น้องชายคนสุดท้องเฝ้า แล้วกลับไปหาแม่ด้วยถุงใบใหม่ของน้องชายฯ

เสียงโหวกแหวกเรียนอาจารย์ๆ คุณครูๆ ดังมาให้ได้ยินเป็นพักๆ แทรกเสียงอื่นๆ อีกล้านแปดในตลาดสด ก็แม่ผมเป็นครูสอนอยู่เทคนิคปากน้ำนี่นา พ่อแม่ลูกศิษย์ลูกหาส่วนหนึ่งก็เป็นพ่อค้าแม่ขายในตลาดนั่นแหละ เราจึงได้ของดีราคาถูก และ ของแถมประจำ

ระหว่างที่ผมเดินมาที่จุดนัด น้องสาวคนรองก็ทำหน้าที่เดินตามแม่กับน้องชายคนที่สาม ผมกลับมาก็ต่อท้ายแถวน้องชายคนที่สาม น้องสาวก็เดินหิ้วของกลับไปหาน้องคนสุดท้องที่จุดนัดพบ … แล้วก็วนๆไปแบบนี้จนหมดรายการในกระดาษของแม่

แล้วเราก็จะกลับมาที่จุดนัดพบ หิ้วของทั้งหมดเดินไปขึ้นรถเมล์เขียนที่คิวต้นสาย

กระเป๋ารถเมล์บางคนที่คุ้นชินกับภาพพวกเรา 5 คนแม่ลูก ก็มักจะกันที่แถวหลังไว้ให้ เพราะว่ามีที่ว่างให้วางถุงกระสอบที่พวกเราหอบหิ้วกันขึ้นมา แต่ถ้าแถวหลังไม่ว่าง เราก็ไม่แคร์ เราก็รอคันถัดไป ชีวิตเช้าวันอาทิตย์ ของเราแม่ลูกไม่มีอะไรให้เร่งรีบ ภาษาของวันนี้อาจจะเรียกได้ว่า ชิวๆ หรือ ชิลๆ

อีกช.ม.กว่าๆ เราก็กลับมาถึงบ้านในตรอกข้างวัดของเรา

เหมือนโรงละครที่นักแสดงตัวจิ๋ว 4 ตัว จำบทไม่ค่อยจะได้ แม่จะสวมบทผู้กำกับ ชี้นิ้วสั่งๆ แล้วก็สั่ง พวกเราว่า ใครไปทำอะไร

อาหารจะถูกแยกออกเป็น ส่วนๆ ผัก เนื้อหมูไก่ และ อาหารทะเล (เรียกหรู แต่ความจริงมีแต่ปลา เพราะฐานะเราตอนนั้นไม่มีทางซื้ออาหารทะเลอย่างอื่นได้ เราได้แต่มอง) เราไม่ซื้ออาหารแห้ง หรือ ของใช้ที่ตลาดปากน้ำ แม่บอกว่า เราซื้อของพวกนั้นได้จากตลาดบางนาในที่อยู่ปากตรอกวัดด้วยราคาที่ถูกกว่า

น้องสาวคนรอง (ที่ตอนนี้เป็นเนติบัณฑิตไทยนี่แหละ) มักได้จัดการกับ เนื้อหมูไก่ ส่วนผมก็จัดการกับปลาเป็นหลัก หรือ ที่แม่ผมเรียกว่า “ทำปลา” ส่วนน้องชายคนที่สามกับน้องชายคนเล็กตอนนั้นยังเด็กมาก ก็ล้างผักเด็ดผักไป ส่งจาน ล้างกะละมัง ไปไรไป ปลอดภัย (เพราะไม่ต้องใช้มีด)

“ทำปลา” แปลว่า เตรียมปลาประเภทต่างๆตามเมนูที่จะใช้ทำอาหาร ซึ่งไม่เหมือนกัน แม่ผมไม่ใช่เชฟใหญ่อะไรที่ไหน ดังนั้นที่ผมจะเล่า มันก็ mother recipe แบบบ้านผมบ้านเดียว(มั้ง)ที่ทำแบบนี้

เมนูหนึ่งที่ผมจำได้ติดตา คือ การทำทอดมันปลากราย เพราะกว่าจะทำเสร็จ กล้ามน้อยๆของเด็กประถมขึ้นเป็นมัดๆ เมื่อยมาก เพราะอะไรเหรอ ตามมาครับ จะเล่าให้ฟัง

แม่จะซื้อปลากรายตัวเล็กๆเพราะมันไม่แพง สมัยนั้นที่ตลาดสดปากน้ำอาหารทะเลยังราคาถูก ปลากรายเป็นปลาที่เนื้อนิ่มมาก ทิ้งไว้นานจะไม่สด มันจะมีกลิ่น ดังนั้นถ้าวันอาทิตย์ไหน แม่จะทำทอดมัน แม่จะให้ผมรีบเอาปลากรายออกจากถุงมา “ทำ” เป็นอย่างแรก

เคล็ดลับการทำปลาทุกชนิด คือ มีดต้องบาง และ คม (บ้านผมไม่มีหินลับมีด ต้องลับมีดกับขอบครกหินแทน) ที่ต้องบาง และ คม เพราะเนื้อปลามันนิ่ม หนังมันเหนียว และ ซอกมุมมันเยอะ การจะ เลาะ แล่ และ ลอก ส่วนต่างๆ จึงต้องมีเหลี่ยม มีมุม ในการวางปลา วางมีด ภาษาสมัยใหม่เขาคงเรียก “เทคนิค”

แม่ไม่ให้ผมล้างปลาสองครั้ง แม่บอกว่าปลาจะจืด ถ้าเป็นปลากราย ผมจะกรีดท้องควักไส้ออกมาทิ้งไปก่อน เอาเกลือเม็ดหยาบๆถูๆ ให้หายคาว และ เอาเมือกที่หนังปลาออก แล้วค่อยล้างด้วยน้ำทีเดียว นั่นคือส่วนที่ง่าย ไม่ต้องเลาะครีบ ตัดหาง ตัดเหงือก ให้วุ่นวาย เหมือนเมนูอื่น (ไว้โอกาสหน้าจะเล่าให้ฟัง)

แต่ส่วนที่ยากชดเชยความง่ายมันก็มี … ขั้นต่อไป มีสองวิธี ที่ทำได้ คือ การชูดเอาเฉพาะเนื้อออกมาจากปลา

วิธีแรก ประณีตหน่อย ดูเป็นผู้ดีทำปลา คือ เลาะลอกหนังออก แล้วเอาช้อนสังกะสีคมๆขูดเนื้อออกจากก้าง

วิธีทีหลัง หยาบๆเถื่อนๆ ประหนึ่งไพร่ คือ เล่เอาเนื้อติดหนังออกมาจากก้าง แล้วขูดเนื้อออกจากหนัง

ผมทำได้ทั้งสองอย่าง แม่ชอบให้ทำวิธีผู้ดี แต่ผมโปรดวิธีไพร่ (ฮ่า)

จากนั้นก็จะโกยๆเนื้อปลาที่ขุดแล้วให้แม่ แม่จะเอาไปใส่ครก เอาน้ำพริกแกงใส่ลงไป ให้ผมตำเนื้อปลากับน้ำพริกแกงให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ตอนนี้แหละที่กล้ามขึ้นเป็นมัดๆ

ตอนแรกๆที่เนื้อปลายังแยกเป็นชิ้นมันก็ไม่หนืดเท่าไร ตำๆไปเอาสากขยี้ๆกับผนังครกไป ชักเหนียวหนึ๊บเหมือนกาว พอได้ที่ดี มันเข้ากันเป็นเนื้อเดียว เนื้อปลาเป็นสีส้มๆ น้องชายตัวน้อยคนที่สาม (คนที่ปัจจุบันนี้เป็นว่าที่นายพลอากาศตรีแห่งกองทัพอากาศไทยนี่แหละ) ก็จะซอยถั่วฝักยาวเสร็จพอดี

ด้วยความที่เป็นเด็ก ก็นะ ทั่นว่าที่นายพลอากาศตรี ซอยถั่วฝักยาวชิ้นไม่เท่ากันสักเท่าไร แต่ก็ถือว่าเป็นเสน่ห์ของทอดมันบ้านผม ส่วนผมเองก็ลักไก่ เมื่อย ขี้เกียจ ตำปลาไม่เนียนบ้าง ก็มีเนื้อปลาที่ไม่เป็นสีส้มแอบอยู่ซุกใต้ครก แม่ผมบางทีก็ยุ่งๆ ตรวจงานผ่านไป ผมก็รอด (ฮา)

พอทอดออกมาก็เลยเหมือนฟรุ๊ตเค้กที่มีไส้กรุ๊บๆเป็นถั่วฝักยาวชิ้นไม่เท่ากัน กับ เนื้อปลาขาวๆซ่อนเป็นก้อนเท่าเมล็ดถั่วลิสงอยู่ข้างใน 🙂

แม่มักเอาส่วนหนึ่งทอดเลยเที่ยงวันนั้น และ ที่เหลือส่วนใหญ่ใส่ตู้เย็นไว้ทานระหว่างสัปดาห์

กิจกรรมการทอดทอดมัน เป็นความสนุกแบบเด็กๆอีกอย่างหนึ่ง สมัยนั้นเราไม่กลัวเปลืองน้ำมัน เพราะเราเจียวน้ำมันหมูเอง และ เราก็ไม่แคร์เรื่องไขมันอิ่มตัวไม่อิ่มตัว 555 (เราไม่รู้ด้วยแหละ)

แม่จะใส่น้ำมันเยอะๆ กระทะบานๆใบใหญ่ๆ ผมกับน้องทั้งสามคน จะเอาทอดมันมาปั้นเป็นรูปต่างๆเท่าที่เด็กวัยนั้นจะจินตนาการ แล้วโยนลงกระทะ แล้วก็เด้งตัวหนีน้ำมันที่กระเด็น สนุกมาก ถึงแม้จะมีแผลน้ำมันร้อนๆกระเด็นติดที่แขนพองเป็นตุ่มๆเพราะหลบไม่ทันบ้างไรบ้าง ก็ไม่มีใครใส่ใจ

ดังนั้นทอดมันปลากรายของบ้านผมจึงไม่เป็นแผ่นแบนๆกลมๆแบบที่เห็นขายกันในตลาด อีกทั้งเนื้อในก็ไม่เหมือนใคร 🙂

มีเมนูที่เน้นสนุก แต่ไม่เน้นอร่อย (555) อีกเยอะที่พวกเราสรรหามาเรียกความสุขกัน

… วันนั้นถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ไกลจากคำว่าสลัมเท่าไร แม้ว่าเรามีเงินเพียงซื้อเม็ดมะขามคั่ว และ ได้แค่ดูหนังกลางแปลงฟรี แต่แม่ก็มีวิธีทำให้ พวกเรา 4 ชีวิตไม่ได้รู้สึกเลยว่าพวกเราขาดอะไรไปสักนิดเดียว

แม่ไปอยู่กับพ่อ และ น้องหมู ก่อนนะ … วันหนึ่งพวกเรา นก แมว และ หมี จะตามไป แล้วเราจะได้เจอกันอีกครั้ง

ผมคิดถึงแม่ครับ …

พ่อน้องเฟิร์นและน้องภัทร

https://adhd.nongferndaddy.com/for-u-who-i-can-die-for/

1 thought on “Pak Nam market เช้าวันอาทิตย์ กับ แม่ ในวันวาน”

  1. Pingback: Sour Pork กับแกล้มของโปรดพ่อ วิบากกรรมของผม - Nong Fern and Pat story

Comments are closed.

Scroll to Top